“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ลั่นไม่อยากให้เพื่อไทยถูกยุบ ขออย่าใช้จริยธรรมเป็นเครื่องมือทำลายล้างกัน ให้กำลังใจ นายกฯ อิ๊งค์ หวั่นเสียสมาธิแก้ปัญหาบ้านเมืองไม่เต็มที่ ไม่รู้ใครอยู่เบื้องหลังคนร้อง มองไม่ใช่เรื่องนายกฯ ใช้ไอแพดหรือพูดผิด แต่วิสัยทัศน์และกลยุทธ์สำคัญกว่า ขอประชาชนให้กำลังใจ “เท้ง” หลังคะแนนนิยมตก หากผ่านไปได้จะเป็นเพชร
วันที่ 10 ตุลาคม 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวก่อนไปร่วมแจกลายเซ็นที่บูธมูลนิธิคณะก้าวหน้า งานสัปดาห์หนังสือกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความ ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยประเด็นนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ให้เลิกการกระทำที่นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นกระบวนการใช้นิติสงครามหรือไม่ นายพิธายืนยันว่าทุกพรรคการเมืองควรจะช่วยกันร่วมแก้รัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรม ซึ่งตนเองเห็นว่าจริยธรรมเป็นเรื่องดีสังคมควรจะมีแต่ไม่ควรจะใช้เป็นอาวุธทำลายล้างกัน การจะไปร้องใครควรจะต้องมีโทษที่ได้สัดส่วนกับการร้อง เป็นสิ่งที่สังคมร่วมกันจะลงเห็นว่าจริยธรรมอันไหนที่เหมาะหรือไม่เหมาะแต่ไม่ควรจะใช้เอามาลงโทษทางการเมือง จึงคิดว่าน่าจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่พรรคการเมืองทุกพรรค เห็นร่วมกันน่ะเรื่องแบบนี้ควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แล้ว
ส่วนท้ายที่สุดชะตากรรมของพรรคเพื่อไทยจะเหมือนกับพรรคก้าวไกลหรือไม่นั้น และหากพรรคเพื่อไทยถูกยุบ ในอนาคต สถานการณ์ทางการเมืองจะพลิกขั้วอีกหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่าก็ยังยืนยันคำเดิมก่อนเดือนสิงหาคมว่า ขอให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคสุดท้ายที่จะเกิดอะไรแบบนี้และขอให้การกระทำแบบนี้เลิกไปได้ก็ดี แต่หากจะมีโทษได้ก็ควรจะเหมาะสมไม่ใช่ปลดนายกฯ ที่ประชาชนเลือกมาหรือยุบพรรคที่ประชาชนตั้งมา ไม่ควรมีเรื่องแบบนี้ในการเมืองไทย
...
ส่วนข้อกล่าวหาในคำร้องพูดถึงเรื่องการครอบงำพรรคเพื่อไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ตนเองก็ยังไม่เห็นรายละเอียดเรื่องนี้จึงยังแสดงความคิดเห็นตอนนี้ไม่ได้ และขอพูดสั้นๆ ว่า หากจะล้มล้างการปกครองในประเทศประเทศไทย มีอย่างเดียวคือรัฐประหาร อย่างอื่นประเทศชาติยังมีอยู่ไม่ควรเอาไว้ใช้ยุบพรรคใครและตนเองก็ไม่อยากเห็นพรรคเพื่อไทยโดนยุบ
ส่วนเรื่องการร้องยุบพรรคเพื่อไทยจะเกี่ยวข้องกับใครหรือมีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้น ตนเองไม่ได้คิดหรือใส่ใจในเรื่องนี้ ส่วนคนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้จะต้องมีแบล็คที่ใหญ่หรือไม่นั้นตนเองก็ไม่ทราบอะไรไปมากกว่าสื่อมวลชน แต่คิดว่าเป็นกระบวนการที่ไม่น่าจะเสียเวลาและเสียสมาธิ รวมถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องมีสมาธิในการแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง ก็ไม่ควรจะไม่เสียเวลาให้กับเรื่องแบบนี้
ส่วนพรรคเพื่อไทยจำเป็นจะต้องตระหนักและจริงจังกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะเรื่องจริยธรรมหรือไม่นั้น นายพิธากล่าวว่าหากมาสัมภาษณ์วันนี้หรือเมื่อสามเดือนที่แล้วมันก็ควรที่จะตระหนักและจริงจังเหมือนกัน แต่ถ้ามาเริ่มจริงจังหลังจากที่โดนร้องแล้วก็จะกลายเป็นต้องการที่จะปกป้องตนเอง ความสม่ำเสมอในเรื่องจริยธรรมมีได้แต่ไม่ควรเอามาใช้เป็นอาวุธในการทำลายล้างกัน ก็ควรจะมีมาตั้งนานและไม่ใช่ครั้งแรกที่เครือข่ายของพรรคเพื่อไทยโดน จึงน่าจะเป็นแรงผลักดันให้พรรคการเมืองทุกพรรคเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเรื่องจริยธรรม
มองไม่ใช่เรื่องนายกฯ ใช้ไอแพดหรือพูดผิด แต่วิสัยทัศน์และกลยุทธ์สำคัญกว่า
นายพิธา กล่าวอีกว่าตอนนี้ยังเดินทางเยอะไม่อยู่ต่างประเทศก็อยู่ต่างจังหวัด และจะพยายามเดินทางพบปะกับประชาชนในพื้นที่มากขึ้นหากไม่ได้อยู่ต่างประเทศ ตอนนี้เริ่มวางแผนจะลงพื้นที่ให้ได้ทุกอาทิตย์ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมอาจจะมีการเดินทางลงไป
นายพิธายังกล่าวถึงการทำงานของรัฐบาลว่าต้องเปรียบเทียบกับแผนงานว่ามีความตั้งใจอย่างไรซึ่งคนเป็นผู้นำส่วนใหญ่จะต้องมีวาระ 100 วันแรกว่าตั้งใจจะทำอะไรและจะได้เปรียบเทียบได้ว่า เมื่อวางเป้าหมายแล้วได้ทำไปแล้วกี่เรื่อง แต่กับนางสาวแพทองธาร ตนเองก็ยังไม่รู้จะวิเคราะห์ยังไง ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นการเมาหมัดมีเรื่องต่างๆ ประดังเข้ามาแต่ไม่มีองคาพยพในการแก้ไข จึงอยากให้รัฐบาลมีวาระและความตั้งใจในการทำงานเพราะตอนนี้ประชาชนก็เดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยพิบัติหรือเรื่องเศรษฐกิจ
ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์บทบาทผู้นำของนางสาวแพทองธาร โดยเฉพาะการใช้ iPad ตนเองมองเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เรื่องเนื้อหาเป็นเรื่องสำคัญกว่าและทุกคนก็พูดผิดกันได้ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอะไร แต่ควรจะไปดูว่ามีวิสัยทัศน์ไหมหรือมีกลยุทธ์ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือไม่จะดีกว่าเพราะแค่เรื่องอ่านผิดหรือใช้ iPad เป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้เป็นสาระอะไร และคิดว่าโลกใบใหม่ตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องของพรรษาหรือประสบการณ์ทางการเมืองของเพศสภาพอะไร เพราะอยู่ต่างประเทศคนก็ชอบถามแบบนี้แต่ตนเองคิดว่าภาวะผู้นำไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ย้อนกลับมาคำถามเดิมว่าต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไร สามารถที่จะสื่อสารเพื่อให้เกิดการทำงานเป็นทีมเพราะตอนนี้ถือเป็นความท้าทายของประเทศที่ไม่เหมือนเดิม นายกรัฐมนตรีต้องมีความตั้งใจและอดทนจริงๆ ถึงจะแก้ไขปัญหาได้
ขอให้กำลังใจ “เท้ง” ชี้หากผ่านไปได้จะเป็นเพชร
นายพิธา ยังกล่าวถึงคะแนนนิยมของพรรคประชาชนและนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคที่มีคะแนนนิยมลดลงว่า เรื่องนี้ได้พูดกันตั้งแต่สมัยพรรคก้าวไกลว่า “แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร” จะเป็นเพชรได้ต้องใช้ทั้งความอดทนต่อความกดดันความร้อนและต้องใช้เวลา เชื่อว่าทั้งนายณัฐพงษ์และเพื่อน ส.ส. พรรคประชาชนทุกคน คงจะจำบรรยากาศตอนพรรคอนาคตใหม่มาเป็นก้าวไกลได้ ถ้าเราผ่านไปได้ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี จึงขอส่งกำลังใจให้และทุกอย่างต้องใช้เวลาและความอดทนต่อความกดดันรวมถึงอุณหภูมิทางการเมือง และเป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่คิดว่านายณัฐพงษ์จะเทียบกับตนเองไม่ได้ แต่ตนเองมั่นใจในตัวนายณัฐพงษ์มาก แต่ตอนที่จะจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล นายณัฐพงษ์ก็เป็นอีกคนที่อยู่ใกล้ตัวตลอด จนมีคนอยากจะให้ไปเป็นรัฐมนตรีดีอี และมั่นใจว่านายณัฐพงษ์จะผ่านมันไปได้ และไม่เกี่ยวว่าไม่มีตนเองอยู่แล้วความนิยมของพรรคประชาชนได้หดหายไป จึงอยากเชิญชวนประชาชนให้กำลังใจนายณัฐพงษ์เหมือนอย่างที่ตัวเองเคยผ่านมาแล้ว
