วิธีป้องกันไม่ให้ ‘Hunter-killer Malware’ ทำลายระบบการควบคุมความปลอดภัย

มีการวิจัยโดยนำตัวอย่างมัลแวร์ 6 แสนตัวอย่างมาวิเคราะห์และพบว่า 70% ของมัลแวร์ใช้กลยุทธ์การลักลอบเข้าระบบและฝังตัวอยู่ในเครือข่ายทำให้มีการโจมตีไฟล์และข้อมูลเพิ่มขึ้นถึง 150%

อีกทั้งยังสามารถขัดขวางประสิทธิภาพในการควบคุมความปลอดภัยและการตรวจจับภัยคุกคามได้อีกด้วย นอกจากนี้เทคนิคที่กำหนดเป้าหมายการใช้งานโปรโตคอล Application Layer เพิ่มขึ้นถึง 176% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบแรนซัมแวร์ขู่กรรโชกซ้ำซ้อน

ผู้เชี่ยวชาญจึงรวบรวมเทคนิคการโจมตีที่พบบ่อยที่สุด 10 อันดับ ดังนี้

  • T1055 Process Injection: มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 45% ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น เพราะมีความสามารถในการแทรกโค้ดที่เป็นอันตรายลงในกระบวนการใช้งานจริงของเหยื่อโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
  • T1059 Command and Scripting Interpreter: แฮกเกอร์สามารถจัดการและปิดบังกิจกรรมที่เป็นอันตรายโดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในตัวเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับของระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิมๆ
  • T1562 Impair Defenses: การโจมตีที่ปิดการใช้งานหรือขัดขวางเครื่องมือรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่าย
  • T1082 System Information Discovery: การโจมตีด้วยเทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้นซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • T1486 Data Encrypted for Impact: เป็นภัยคุกคามที่น่ากังวลเพราะสามารถเข้ารหัสข้อมูลเพื่อขู่กรรโชกและเรียกค่าไถ่องค์กรที่ตกเป็นเหยื่อ
  • T1003 OS Credential Dumping: แฮกเกอร์ได้รับสิทธิ์ขั้นสูงเพื่อข้ามผ่านเครือข่าย เข้าควบคุมเครื่องเป้าหมายในระบบ และยังสามารถเพิ่มสิทธิ์ในการเข้าถึงระบบเครือข่ายของเหยื่อได้ทุกระดับด้วย
  • T1071 Application Layer Protocol: มีการใช้เพิ่มขึ้นถึง 176% เพื่อขโมยข้อมูลภายในโดยเป็นแผนการขู่กรรโชกซ้ำซ้อนที่มีความซับซ้อนคล้ายกับแรนซัมแวร์
  • T1547 Boot หรือ Logon Autostart Execution: การบูตหรือล็อกออนอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยในการเข้าถึงเครือข่ายถือเป็นจุดเด่นของภัยคุกคามขั้นสูงแบบถาวร (Advanced Persistent Threats หรือ APT)
  • T1047 Windows Management Instrumentation: การโจมตีเครื่องมือการจัดการข้อมูลสำหรับระบบ Windows โดยรันคำสั่งและสคริปต์จากระยะไกลบนระบบที่ใช้ Windows ทำให้สามารถเลี่ยงการรักษาความปลอดภัยแบบเดิมๆ และเปิดใช้งานกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่างๆ รวมถึงการลาดตระเวน การควบคุมเครื่องเป้าหมายในระบบและการคงอยู่ภายในเครือข่ายที่ถูกบุกรุก
  • T1027 ไฟล์หรือข้อมูลที่สร้างความสับสน: การโจมตีที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายประสิทธิภาพของมาตรการรักษาความปลอดภัยและซ่อนการกระทำที่เป็นอันตรายทำให้การตรวจจับการโจมตี การเก็บรวบรวมเพื่อการวิเคราะห์หลักฐานทางดิจิตอล และจัดการตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ยากยิ่งขึ้น

ผมจึงมองถึงความจำเป็นของการมีกลยุทธ์การตรวจจับและการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพภายในระบบรักษาความปลอดภัยทางด้านไอทีเพราะการมีแนวทางการป้องกันเชิงลึก อย่าง Zero Trust, machine learning การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (MFA) การผสมผสานการวิเคราะห์พฤติกรรมขั้นสูง

รวมถึงการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ออกแบบมาสำหรับตรวจจับความผิดปกติจะเพื่อช่วยลดอัตราการถูกโจมตีให้น้อยลง

นอกจากนี้การตรวจสอบความถูกต้องของระบบอยู่เป็นประจำถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพิสูจน์ว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยของคุณแข็งแกร่งอย่างที่คุณคิดแล้วหรือยังครับ

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ระเบิด ‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่าที่กลับมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ “โทรศัพท์มือถือ” จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโล...

เปิดเหตุผล 'ไปรษณีย์ไทย' ทำไมโดดร่วมสมรภูมิ 'เวอร์ชวลแบงก์'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.) เป็นวันปิดรับคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแ...

แกะกล่อง 'iPhone 16' และ 'iPhone 16 Pro Max' ส่องจุดเด่น มีลูกเล่นอะไรใหม่

แกะกล่องเป็นกลุ่มแรกๆ กับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max ที่วันนี้ KT Review จะพาไปดูว่าหนึ่งรุ่นเร...

‘ไมโครซอฟท์ - กูเกิล’ มอง ‘Digital Trust’ วาระท้าทาย ชีวิตบนโลกดิจิทัล

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน “60 Years OF EXCELLENCE” ฉลองครบรอบ 60 ปี เชิญผู้นำจา...