ใครว่า AI ปัญญาประดิษฐ์ สร้างแต่ความเหลื่อมล้ำ!! 

หลายธุรกิจนำ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI มาประยุกต์ใช้ได้แบบไม่น่าเชื่อ ซึ่งบางอย่างอาจจะเกินความสามารถมนุษย์ ทำให้ “AI” ถูกตั้งคำถามว่าจะมาสร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำ หรืออาจมาช่วงชิงสิ่งที่มนุษย์เคยทำได้หรือไม่

โดยข้อสงสัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นใจต่อผู้ใช้และทรรศนะที่ว่า “AI คือเครื่องมือที่จะมาสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับสังคม” 

ทั้งนี้ เพื่อเปิดอีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับ AI สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จะพาไปสัมผัสกับ 4 ตัวอย่างของการใช้ AI ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งเรียกได้ว่าเข้ามาเปิดโอกาสและเปลี่ยนแปลงสังคมให้เกิดความเท่าเทียม

ครอบคลุมทั้งการจ้างงาน การสร้างสังคมให้น่าอยู่ การลดภาระทางสุขภาพ รวมถึงโอกาสทางการศึกษา ที่ทั้งหมดล้วนเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่จะทำให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น 

“AI” กับการสร้างโอกาสในการศึกษาให้ผู้พิการทางการได้ยิน
    เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถปรับเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบใหม่ เทียบเท่ากับการมีครูผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาส่วนตัวผ่านอุปกรณ์พกพา ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้หลากหลาย และมีรูปแบบที่กระชับรวดเร็วขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้กับผู้ที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ

ตัวอย่างเช่น แฟมิลี่เดฟ: แพลตฟอร์มการเรียนรู้ภาษามือด้วย AI เพื่อเพิ่มโอกาสทางสังคมของผู้พิการทางการได้ยิน ด้วยระบบ ASL (American Sign Language) ที่มาช่วยแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้ภาษามือ ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท แฟมิลี่ เดฟ จำกัด

เพื่อให้ผู้พิการทางการได้ยินเข้าถึงการเรียนรู้ภาษามือที่เป็นมาตรฐานสากลจากอเมริกาได้ง่าย สะดวก และราคาถูก ซึ่งภาษามือที่เป็นสากลจะช่วยให้สื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างเข้าใจเพราะมีผู้ใช้จำนวนมาก และยังเป็นต้นแบบภาษามือของไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ แพลตฟอร์มการเรียนรู้ภาษามือด้วย AI มีฟีเจอร์สำคัญ เช่น การเรียนรู้คำศัพท์ในชีวิตประจำวัน โดยการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยตรวจสอบการสะกดนิ้วที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้พิการทางการได้ยินฝึกฝน ฟีเจอร์หมวดสื่อออนไลน์ที่รองรับภาษามือระหว่างดู เพื่อให้ผู้พิการได้ฝึกฝนการอ่านภาษามือจากสื่อ ช่วยให้ผู้พิการรับรู้ข่าวสารผ่านล่ามทีวีได้อย่างเข้าใจ

อีกทั้ง ยังเพิ่มโอกาสให้ผู้พิการสามารถเรียนรู้สื่อการสอนวิชาชีพผ่านเว็บแอปแฟลิมี่เดฟ เพื่อการส่งเสริมการพัฒนาทักษะอาชีพให้สามารถสร้างงาน และสร้างรายได้ด้วยตนเอง

“AI” สะพานเชื่อมสุขภาพจิต 
การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพด้วย AI มีส่วนช่วยให้การตรวจและวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้นทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งตอนนี้มีการนำ AI เข้ามาใช้ทั้งในกระบวนการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) รวมถึงแชทบอท โดยวิธีการเหล่านี้เป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ด้อยโอกาสและคนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงการรักษา อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้แนวโน้มค่าบริการทางการแพทย์ถูกลง

และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ปัจจุบัน AI ไม่ได้มีแค่บทบาทต่อการรักษาสุขภาพทางกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถช่วยบรรเทาปัญหาสุขภาพจิตด้วย ลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการดังกล่าว เช่น จำนวนแพทย์ไม่เพียงพอ การเดินทางไปสถานพยาบาล ความกล้าที่จะปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น 

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีตัวอย่างนวัตกรรมที่นำ AI เข้ามาช่วยให้คนเข้าถึงบริการสุขภาพจิตแล้ว เช่น BOTNOI: สมาร์ท
แชทบอทสำหรับปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต
ที่กรมสุขภาพจิตร่วมกับบริษัท ไอบอทน้อย จำกัด พัฒนาขึ้นเพื่อให้คำปรึกษาแก่ประชาชนผ่านข้อความอัตโนมัติ (Voice Bot) ตลอด 24 ชั่วโมง

โดยมีเทคโนโลยี AI ช่วยประเมินระดับความรุนแรงของภาวะซึมเศร้า เครียด วิตกกังวล ฆ่าตัวตาย และระดับภาวะอารมณ์อื่น ทำให้ผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตสามารถดูแลตนเองและอยู่ร่วมกับสังคมได้มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการขาดแคลนและความเหนื่อยล้าของบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่ต้องรองรับผู้รับบริการจำนวนมาก

ทำให้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตสามารถเข้าถึงบริการได้รวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย ลดโอกาสการตีตราจากสังคมในการเข้ารับการปรึกษาด้านสุขภาพจิต และเพิ่มความรู้สึกเป็นส่วนตัวให้ผู้รับบริการได้มากขึ้น 

“AI” กับการแมตช์คนพิการสู่งาน Live Chat Agent”
ปัจจุบัน AI เป็นอีกเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อธุรกิจอย่างมาก ทั้งศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ตลาดแรงงาน การจับคู่ผู้สมัครงานกับงานที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ยังช่วยให้การทำงานของกลุ่มเปราะบางเกิดความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะงานด้านลูกค้าสัมพันธ์ การตอบข้อสงสัยในช่องทางออนไลน์ของกลุ่มธุรกิจบริการ ที่ต้องบอกว่ากลุ่มผู้พิการมีความสามารถและทักษะการทำงานเช่นเดียวกับคนปกติ 

ทั้งนี้ จึงมีนวัตกรรมที่ชื่อว่า Vulcan โครงการ Live Chat Agent เพื่อสร้างโอกาสทางอาชีพใหม่สำหรับคนพิการด้านการมองเห็น และคนพิการทางด้านร่างกาย ที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยอ่านข้อความและออกเสียงข้อสงสัยจากกลุ่มลูกค้าทางช่องแชทข้อความ

ช่วยให้ผู้พิการทางการมองเห็นสามารถทราบปัญหาและโต้ตอบกับลูกค้าได้โดยไม่ติดข้อจำกัด ลดปัญหาเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ข้อสงสัยถูกตอบกลับได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ โซลูชันดังกล่าวได้ช่วยลดภาระการเดินทางของคนพิการ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสการจ้างงาน และสร้างโมเดลการจ้างงานที่ใช้ศักยภาพของคนพิการในการสร้างมูลค่าให้แก่ภาคธุรกิจ

ช่วยเสริมความต้องการในตลาดแรงงานด้านการบริการลูกค้าในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แต่บุคลากรในอุตสาหกรรมนี้กลับไม่เพียงพอเพราะมีอัตราการหมุนเวียนสูง รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เน้นความรวดเร็วและสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี 

“AI ผู้ช่วยเตือนภัย แก้ไขเหตุฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องรอ 
การนำ AI มาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและจัดการข้อมูลเมืองที่กระจัดกระจายอยู่มากมาย จะช่วยให้ผู้ที่มีอำนาจกำหนดนโยบายต่าง ๆ สามารถเห็นความเชื่อมโยงของข้อมูล อีกทั้งความสามารถในการใช้ข้อมูลสถิติและการประมวลผลที่รวดเร็วของ AI นั้น ยังช่วยเฝ้าระวังหรือคาดการณ์เหตุการณ์อันตราย

รวมถึงเสนอแนวทางป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ จึงช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมวิธีแก้ปัญหาระดับเมืองด้วยแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

จากความอัจฉริยะดังกล่าวนำมาซึ่งการพัฒนา โครงการ 24 HI-CARE CENTER: ระบบสายตรวจอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตำรวจ โดยบริษัท บีเอ็มเค ซีซีทีวี จำกัด ได้นำเทคโนโลยีกล้องโทรทัศน์วงจรปิด AI รวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในการแจ้งเตือน และ ระบบ SOS ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน

มาทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถป้องกันปัญหาในเชิงรุกก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้สายตรวจทำงานได้อย่างถูกจุด ลดภาระงานการขับรถออกตรวจที่สิ้นเปลืองทรัพยากรน้ำมันและกำลังคน

มีการปรับเปลี่ยนเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วพร้อมไปถึงที่เกิดเหตุได้ทันทีเมื่อระบบแจ้งเตือน และเข้าดำเนินการกับคนร้ายได้ก่อนเหตุการณ์จะลุกลามบานปลาย ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงช่วยให้สังคมมีความปลอดภัยและน่าอยู่มากขึ้น 

จะเห็นได้ว่า AI คือเครื่องมือหนึ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้บรรลุการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่สังคม แต่การใช้งานต้องคำนึงถึงจริยธรรม ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส

และยังจำเป็นต้องมีการกำหนดกรอบนโยบายเพื่อควบคุมการใช้งาน AI และตรวจสอบให้แน่ใจว่า สิ่งที่กำลังดำเนินการพัฒนานั้นเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ หรือสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้จริง มิเช่นนั้น AI อาจจะทำให้ความเหลื่อมล้ำในมิติต่าง ๆ ถ่างออกไปมากยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ที่มีแนวคิดและนวัตกรรมในการนำ AI เข้ามาช่วยพัฒนาให้สังคมดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมิติใด ฝ่ายนวัตกรรมเพื่อสังคม  NIA พร้อมสนับสนุนท่าน เปลี่ยนไอเดียเป็นนวัตกรรมที่สามารถช่วยสังคมได้จริง. 
 

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ระเบิด ‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่าที่กลับมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ “โทรศัพท์มือถือ” จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโล...

เปิดเหตุผล 'ไปรษณีย์ไทย' ทำไมโดดร่วมสมรภูมิ 'เวอร์ชวลแบงก์'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.) เป็นวันปิดรับคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแ...

แกะกล่อง 'iPhone 16' และ 'iPhone 16 Pro Max' ส่องจุดเด่น มีลูกเล่นอะไรใหม่

แกะกล่องเป็นกลุ่มแรกๆ กับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max ที่วันนี้ KT Review จะพาไปดูว่าหนึ่งรุ่นเร...

‘ไมโครซอฟท์ - กูเกิล’ มอง ‘Digital Trust’ วาระท้าทาย ชีวิตบนโลกดิจิทัล

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน “60 Years OF EXCELLENCE” ฉลองครบรอบ 60 ปี เชิญผู้นำจา...