บสย. ตั้งเป้าปี 67 ค้ำประกัน 1.14 แสนล้านบาท มอง ‘SME’ ยังมีปัญหาสภาพคล่อง

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์และทิศทางการดำเนินงานของ บสย. ในปี 2567 ภายใต้แนวคิด "TCG Fast-Forward Sustainable Credit Guarantee" บสย. มุ่งยกระดับการค้ำประกันสินเชื่อ เชื่อมการบริการใหม่ เข้าถึง SME มากขึ้น ตามเป้าหมาย SME Digital Gateway 

โดยวางกลยุทธ์ 3 ช่วย "ช่วย..ค้ำ ช่วย..ปรับโครงสร้างหนี้ ช่วย..แก้หนี้" เสริมแกร่ง SME พัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน โดยตั้งเป้าค้ำประกันสินเชื่อ 115,600 ล้านบาท สนับสนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ผ่านการดำเนินการ 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการค้ำประกัน ที่ บสย. พัฒนาขึ้น อาทิ BI7 และ RBP วงเงิน 75,600 ล้านบาท และโครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก หรือ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5 ปีแรกไม่เกิน 5% วงเงิน 40,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน เร่งขับเคลื่อนองค์กรก้าวสู่การเป็น Credit Mediator และ SMEs Digital Gateway ประกอบด้วย การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs ครบวงจร (บสย. F.A. Center) ปรับรูปแบบบริการ สำนักงานเขต 11 สาขาทั่วประเทศ ขยายความร่วมมือกับพันธมิตร ให้ความรู้ช่วยเหลือ SMEs ในด้านการเงินและธุรกิจ เพื่อยกระดับเป็น บสย. Business School

รวมทั้ง ก้าวสู่ระบบนิเวศน์ทางการเงิน (Ecosystem) พัฒนา Digital Platform เดินหน้าเฟส 2 สู่ "SMEs Digital Gateway" เชื่อมระบบการค้ำประกันสินเชื่อด้วย Digital Guarantee Platform และบริการใหม่จาก LINE OA @tcgfirst ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 30,000 ราย 

นายสิทธิกร กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อแบบราย Segment เจาะกลุ่มรายย่อย อาชีพอิสระ หนี้นอกระบบ นิติบุคคล ธุรกิจยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงโครงการ CSR ที่ใช้ความเชี่ยวชาญของ บสย. ให้ความรู้กลุ่มผู้ต้องขัง กลุ่มผู้พิการ นักเรียนอาชีวศึกษา และโรงเรียนฝึกอาชีพในชุมชน

นอกจากนี้ เพิ่มมาตรการการช่วยเหลือลูกหนี้ แก้หนี้อย่างยั่งยืน ได้แก่ "มาตรการปลอดดอกเบี้ย" ขยายเวลามาตรการ 3 สี (ม่วง เหลือง เขียว) 

"บสย. พร้อมช่วย" ผ่อนน้อย เบาแรง เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่องอีก 1 ปี และ "มาตรการปลดหนี้" ต่อยอด "มาตรการสีฟ้า" ปลดหนี้ ลดต้น 15% สำหรับลูกหนี้ บสย. มาตรการสีเขียว ผ่อน ดี 3 งวดต่อเนื่อง โดยจะสิ้นสุดระยะเวลาทดลองโครงการเฟสแรก 30 มิ.ย. 2567 

"มาตรการแก้หนี้" พักหนี้ 1 ปี สำหรับผู้ประกอบการ SME รหัส 21 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ระยะเวลาดำเนินโครงการ 18 เดือน เริ่ม 1 ม.ค. 2567-30 มิ.ย. 2568) เปิดลงทะเบียนเมื่อ 1 ม.ค. 2567 ผ่านช่องทาง Line Official Account atcgfirst และสำนักงานเขต บสย. ทั่วประเทศ

นายสิทธิกร กล่าวต่อว่า สำหรับผลการดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ บสย. ปี 2566 อนุมัติค้ำประกันรวม 114,025 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. โครงการภาครัฐ (PGS 10 และโครงการอื่นๆ) 51,249 ล้านบาท (สัดส่วน 45%) ค้ำเฉลี่ยต่อราย 5.9 แสนบาท 

2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก หรือ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2 43,376 ล้านบาท (สัดส่วน 38% ) ค้ำเฉลี่ยต่อราย 5.3 ล้านบาท 

3. โครงการ บสย. ดำเนินการเอง วงเงิน 19,400 ล้านบาท (สัดส่วน 17%) ค้ำเฉลี่ยต่อราย 2.55 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อ กรุงเทพ -ปริมณฑล 45% และภูมิภาค 55% 

ขณะที่การค้ำประกันสินเชื่อโครงการ SMEs เพื่อความยั่งยืน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญจาก 27% ในปี 2565 เป็น 29% ในปี 2566 ได้แก่ โครงการค้ำประกันรายย่อย Micro Entrepreneurs โครงการ Start up Innovation โครงการ Green SMEs โครงการหนี้นอกระบบและโครงการพิเศษ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู และโครงการ PGS สำหรับกลุ่มเปราะบาง

ทั้งนี้ เป็นผู้ประกอบการ SME รายใหม่ได้สินเชื่อ จำนวน 99,298 ราย 80% เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) รักษาการจ้างงาน รวม 855,087 ตำแหน่ง สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 470,388 ล้านบาท สร้างสินเชื่อในระบบ 124,815 ล้านบาท คิดเป็น 1.10 เท่า ของยอดค้ำประกัน

สำหรับประเภทธุรกิจที่มียอดค้ำประกันสูงสุด 5 ลำดับ ในปี 2566 ได้แก่ 1. ภาคบริการ 30% 2. ภาคการผลิต สินค้าและการค้าอื่นๆ 10% 3. ภาคเกษตรกรรม 10% 4. ภาคอาหารและเครื่องดื่ม 9% และ 5. สินค้าอุปโภค-บริโภค 8% 

"สัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อภาคบริการมีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ และ ภาคเกษตรกรรม หดตัวเล็กน้อย ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มยานยนต์ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2565 สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยต่อสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวสนับสนุนภาคการบริโภค"

ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ค้ำสูงสุดคือ SMEs รายย่อยซึ่งอยู่ในภาคการผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ สัดส่วน 33% ตามด้วย ภาคบริการ และสินค้าอุปโภค-บริโภค

ด้านโครงการแก้หนี้ SMEs ประสบความสำเร็จเกินคาด ตัวเลขการช่วยผู้ประกอบการแก้หนี้ สะสม ตั้งแต่ปี 2560- 2566 ช่วยลูกหนี้เข้าโครงการประนอมหนี้ จำนวน 19,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้ปรับโครงสร้างสะสม 6,942 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระหว่างปี 2565 (เริ่มเมษายน) จนถึงปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่ บสย. ออกมาตรการ "บสย. พร้อมช่วย" มาตรการ 3 สี ม่วง เหลือง เขียว "ผ่อนน้อย เบาแรง" ดอกเบี้ย 0%

ทั้งนี้ บสย. สามารถช่วยลูกหนี้ได้รับการประนอมหนี้จำนวน 13,378 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 4,723 ล้านบาท โดยในปี 2567 บสย. ยังคงเดินหน้ามาตรการช่วยลูกหนี้อย่างเข้มข้น

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ฮิซบอลเลาะห์ระส่ำวันที่ 2 ว.ระเบิด ดับ 20 ราย l World in Brief

เลบานอนระเบิดอีก รอบนี้เป็น ว.ฮิซบอลเลาะห์ วิทยุมือถือที่กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ใช้ ระเบิดทั่วภาคใ...

AI Governance ก้าวแรกที่อย่ามองข้ามสำหรับทุกองค์กร

ในขณะที่แต่ละองค์กรกำลังตื่นตัวกับการวางแผนหรือเริ่มประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับกระบวนการแล...

ภาคอีสานครึ่งแรกซัพพลาย5หมื่นล้านโคราชขายบ้านสูงสุดขอนแก่นคอนโดขายดี

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(RE...

ด่วน! เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% ครั้งแรกในรอบ 4 ปี ตลาดหุ้นสหรัฐเด้งรับก่อนปิดลบ!

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.5% เมื่อวันพุธที่ 18 ก.ย. 2567 ถือเป็นการเริ่...