“จตุพร” วิเคราะห์สถานการณ์หลัง 18 ก.พ.นี้ เชื่อ นักโทษชั้น 14 รพ.ตำรวจ ได้กลับบ้าน ซัด ไม่ยอมติดคุกสักวันเป็นพฤติกรรมอภิสิทธิ์ชน พร้อมหักดิบนายกฯ “เศรษฐา” ส่อรัฐบาลจอดไม่ต้องแจว หวั่น ประชาชนชนทนไม่ไหว
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ว่า ดีลกลับบ้านของอภิสิทธิ์นักโทษชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จะได้รับการปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ทำกันไว้หรือไม่ หลังวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ มีคำตอบจากผลกระทบของสถานการณ์จะเบี้ยวหรือรักษาคำมั่นนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน พอแค่นี้ ไปต่อไม่ได้
พร้อมเผยต่อไปว่า การเริ่มต้นดีลที่ไม่ถูกต้องย่อมแสดงถึงใบเสร็จการสมคบคิดยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 แต่มายื่นแสดงผลการกระทำเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เพราะถ้าไม่มีดีลทำข้อตกลงกันแล้ว คงมาลงเอยแบบกลับบ้านไม่ต้องติดคุกสักวันไม่ได้ อีกทั้งดีลแบบนี้เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กระบวนการยุติธรรมหลายแวดวงมาก นอกจากนี้ ตำรวจต้องการนำตัวนักโทษเด็ดขาด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไปส่งอัยการสั่งฟ้องคดีมาตรา 112 ยังต้องทำเรื่องถึงเรือนจำ แต่คำตอบกลับให้เข้าพบไม่ได้ ดังนั้น เมื่อแจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้ วันที่ออกจากชั้น 14 จะถูกตำรวจอายัดตัวทันที เพราะต้องปฏิบัติกับผู้ต้องหาเด็ดขาดเหมือนกันทุกคดี
วันนี้ประชาชนสั่งสมในเรื่องความไม่ยุติธรรม ไม่ว่ากรณีถวายสัตย์ฯ ไม่ครบข้อความ เป็นนายกรัฐมนตรี 8 ปีเป็นอีกไม่ได้ และการนิยามหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสั่งสมความรู้สึกของคน พอมาถึงเรื่องพรรคก้าวไกล เจอข้อหาล้มล้างการปกครอง ยิ่งเพิ่มการสั่งสมอารมณ์ประชาชนมากขึ้นในเรื่องความไม่ยุติธรรม ดังนั้น การทำตัวไม่เสมอกันมาตั้งแต่ต้นจึงกลายเป็นปัญหา ถ้ามีความเป็นธรรมและปฏิบัติแบบเสมอกันแล้วประเทศยอมมีหลัก แต่ละฝ่ายต้องคิดกันว่าการดีลขณะนี้เป็นการสร้างปัญหาไต่บนเส้นลวดหรือไม่
...
นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า กรณีนักโทษชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันหนึ่งถ้าประชนทนไม่ไหวแล้ว รัฐบาลคงจะเอาไม่อยู่ แม้จะใช้อำนาจจัดการทุกสิ่งอย่าง แต่ถ้าอำนาจเอาไม่อยู่อีก ลงท้ายจะนำพาไปสู่การฆ่ากันอีกหลายรอบ มีคนตาย บาดเจ็บอีกจำนวนมาก และคงไม่จบสิ้น “เมื่อสถานการณ์ละเอียดอ่อนแล้ว มีแต่การทำให้ถูกต้องจึงจะแก้ไขได้ เพื่อคนจะไม่มีความรู้สึกสั่งสมความไม่ยุติธรรม แต่พวกหนึ่งสร้างอภิสิทธิ์ชนอยู่ชั้น 14 โดยไม่มีใครรู้สึกรู้สาอะไรเลย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งถูกกระทำไม่ได้รับความยุติธรรม ยิ่งทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกขึ้นทันที สิ่งนี้คือปัญหาใหญ่และกระทบไปอย่างกว้างขวาง”
ทั้งนี้ ใครที่เป็นองค์ประกอบการดีลทั้งหลาย คิดว่าจะคุมสถานการณ์อยู่จนถึงวันจะครบกำหนดการดีลหรือไม่ ถ้าดีลถูกหักจะลงท้ายด้วยการยึดอำนาจหรือไม่ เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 เปิดช่องให้พรรคไทยรักไทยเติบโตจนคุมไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้ เมื่อมารัฐธรรมนูญ 2560 คิดว่าจะคุมสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ แต่ สว.กำลังพ้นวาระและพรรคการเมืองอีกฝ่ายเริ่มมีโอกาสเข้ามาคุมแทนที่หมด ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากกรณีความยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรมเสมอหน้าเท่าเทียมกันทางกฎหมาย
ส่วนกรณีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท นายจตุพร มองว่า ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยกล้าทำ ต้องลงมือทำ ไม่ต้องรอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเอกสารผลการศึกษามาให้ตรวจสอบ เพราะรัฐบาลไม่ได้สั่งให้ศึกษา อีกทั้งไม่ได้ส่งหนังสือขอ ป.ป.ช.ส่งมาให้ ถ้าอยากเห็นผลการศึกษารัฐบาลต้องลงมือทำเลย แล้ว ป.ป.ช.จะส่งเอกสารมาให้เอง เพราะฉะนั้น การประกาศว่าไม่กู้แล้วมากู้ จึงเป็นความผิดมาตั้งแต่ต้น และโครงการเงินดิจิทัลยังเกิดทำให้หาประโยชน์ได้ทุกช่องทาง ยิ่งมีการดีลที่เป็นสัญญาไม่ต้องติดคุก และนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ประเทศเสียหาย เพราะเสียโอกาสในการใช้งบประมาณ 2567 ที่ถูกดึงให้ล่าช้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้อธิบายความถูกต้องไม่ได้ เพราะเป็นดีลที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและประเทศเสียหายในการใช้จ่ายงบประมาณ 2567
นายจตุพร กล่าวในช่วงท้ายว่า หลังจาก นายทักษิณ ได้กลับบ้านไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะการไม่ยอมติดคุกสักวันเป็นพฤติกรรมของอภิสิทธิ์ชน ทั้งที่อ้างถึงความสำนึกยอมรับการกระทำผิดในคดีทุจริตที่ผ่านมาแล้ว จึงเป็นห่วงข้าราชการที่มาเกี่ยวข้อง เพราะชีวิตถูกแขวนขาข้างหนึ่งเข้าคุกไว้แล้ว แล้วจะกลายเป็นคนสิ้นอนาคต ไม่เพียงเท่านั้นยังลากเอาครอบครัวมารับผลกระทบอีกด้วย
“เมื่อตัวเองเป็นคนกระทำผิดเองทั้งนั้น ก็อย่าไปโทษใครเลยว่าถูกรังแก ถูกกระทำ เพราะตัวเองสารภาพยอมรับความผิดในคดีทุจริตคอร์รัปชันเอง หากเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยมาจริง จนถูกยึดอำนาจ ถ้าก้มหน้ารับโทษ 8 ปีโดยไม่สะทกสะท้านแล้ว ประชาชนจะเข้าใจการยอมรับกระบวนการยุติธรรมและจะเห็นใจ”