“ศุภณัฐ” ชี้ ความเจริญพุ่งเข้าจุดศูนย์กลางเมือง กดทับพื้นที่ชานเมือง ต้องปลดล็อกผังเมือง จึงจะกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเจริญได้ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นใหญ่ 6 ม.ค. 2567
วันที่ 24 ธันวาคม 2566 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) พรรคก้าวไกล จากพื้นที่กรุงเทพเหนือ นำโดย นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพมหานคร เขต 9 (หลักสี่ จตุจักร บางเขน) พรรคก้าวไกล เข้าร่วมเวทีของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับใหม่ ณ โรงเรียนวัดหลักสี่ เขตหลักสี่
นายศุภณัฐ กล่าวว่า เวทีนี้เป็นหนึ่งใน 6 เวทีรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างผังเมืองกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ ที่จัดขึ้นตามกลุ่มพื้นที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 23-24 ธันวาคม 2566 โดยเวทีนี้เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในกลุ่มกรุงเทพเหนือ ได้แก่ เขตบางซื่อ เขตดอนเมือง เขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตจตุจักร และเขตลาดพร้าว ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ กทม. เข้ามาอธิบายกับประชาชนว่า ร่างผังเมืองกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ มีการปรับโซนสีและผังคมนาคมในพื้นที่อย่างไรบ้าง และจะส่งผลต่อการขยายตัวของเมือง รวมถึงถนนเส้นใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่อย่างไร ก่อนจะเปิดเวทีให้ประชาชนได้สอบถามและแสดงความคิดเห็น
...
พร้อมย้ำว่า ความสำคัญของผังเมืองคือการเป็นแกนกลางหลักที่กำหนดว่าการพัฒนาเมืองจะดำเนินต่อไปในทิศทางใด ซึ่งหากวิเคราะห์การแบ่งโซนสีในร่างผังเมืองกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ ก็จะพบว่ายังคงกำหนดให้ความเจริญพุ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลางเมือง และกดทับพื้นที่ชานเมืองไม่ให้สามารถพัฒนาได้เต็มที่ ด้วยข้ออ้างเรื่องของการจัดระเบียบ การวางผังเมืองเช่นนี้ทำให้คนจากชานเมืองต้องพุ่งเข้าไปแออัดอยู่ในเมืองเพื่อหางานทำ เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและที่ทำงาน
“พื้นที่กรุงเทพเหนือไม่มีเมืองหรือจุดความเจริญใหม่ๆ เกิดขึ้นมากนัก ทั้งที่มีศักยภาพเพียงพอ นั่นเพราะถูกผังเมืองกดทับศักยภาพไว้ ทำให้นักลงทุนทั้งในเชิงการพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ไม่พร้อมที่จะลงทุน เพราะเกรงว่าจะไม่คุ้มทุน หากผังเมืองมีศักยภาพต่ำ นักลงทุนก็ไม่พร้อมที่จะลงทุน นั่นก็เป็นปัญหาที่ทำให้กรุงเทพฯ ชานเมืองไม่เจริญเสียที คนก็มุ่งเข้าสู่สุขุมวิท สาทร เพลินจิต แต่ชานเมืองไม่สามารถเจริญได้ และศักยภาพที่ดินของกรุงเทพเหนือก็ต่ำกว่าในเมือง 3 เท่า ดังนั้น การปลดล็อกผังเมืองจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเจริญได้”
จากนั้น นายศุภณัฐ กล่าวต่อไป ด้วยความสำคัญของผังเมืองเช่นนี้ สิ่งที่ กทม. ควรจะทำคือการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลและเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น แต่ที่ผ่านมากลับพบว่าการประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึงนัก และท้ายที่สุด ร่างผังเมืองฉบับนี้อาจจะผ่านโดยที่ประชาชนยังไม่มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง ประชาชนอาจจะไม่รู้เลยว่าพื้นที่ที่อยู่รอบข้างบ้านของตนจะมีการพัฒนาในทิศทางใด จะมีการกดทับหรือเอื้อสิทธิให้กลุ่มนายทุนบางกลุ่มหรือไม่
ในช่วงท้าย นายศุภณัฐ ได้เชิญชวนให้ประชาชนร่วมศึกษาและยื่นหนังสือแสดงความคิดเห็นต่อร่างผังเมืองกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ ได้จนถึงวันที่ 22 มกราคม 2567 โดยศึกษารายละเอียดและวิธีการแสดงความเห็นได้ทางเว็บไซต์ นอกจากนี้ ยังเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นใหญ่ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 6 มกราคม 2567 ณ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง อย่างไรก็ตาม นายศุภณัฐ ย้ำด้วยว่า การรับฟังความคิดเห็นควรจะแบ่งสัดส่วนให้เสียงของประชาชนเป็นเสียงส่วนใหญ่ในวงแลกเปลี่ยน เพื่อสะท้อนปัญหาและความกังวลของคนในพื้นที่ มากกว่าการให้ประชาชนมานั่งฟังภาครัฐอธิบาย.