“วิโรจน์-ณัฐพงษ์” จัดเต็มข้อ เสนอชุดใหญ่ ยกเครื่องกฎหมาย-แก้ทุจริตทั้งระบบ

“วิโรจน์-ณัฐพงษ์” จับตา นโยบายปราบทุจริต ชี้ ดัชนีเลวร้ายถึงจุดต่ำสุด หลังรัฐประหาร 57 จัดเต็มข้อเสนอชุดใหญ่ยกเครื่องกฎหมาย-แก้ทุจริตทั้งระบบ ย้ำ ทำงบ ปี 67 ยังไม่สายที่จะเปิดข้อมูลให้โปร่งใส แนะประกาศเจตจำนงเข้าร่วมภาคีเปิดข้อมูลภาครัฐ

วันที่ 8 ธ.ค. 2566 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร พร้อมด้วย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร่วมแถลงข่าวจับตานโยบาย “ชำแหละปัญหา-เสนอทางแก้คอร์รัปชัน” เพื่อส่งสัญญาณไปสู่รัฐบาล เนื่องในโอกาสที่วันพรุ่งนี้ (9 ธันวาคม 2566) เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล พร้อมเสนอมาตรการที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลสามารถจัดการปัญหาได้ทันที

ในส่วนนายวิโรจน์ ระบุว่า มูลค่าของการทุจริตคอร์รัปชัน มีการประเมินว่าสูงถึง 3 แสนล้านบาทต่อปี เทียบเท่ากับงบประมาณกระทรวงศึกษาธิการ 1 ปี เป็น 42 เท่าของงบประมาณกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และเป็น 3 เท่าของเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

และเมื่อพิจารณาจากดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index-CPI) ตั้งแต่ปี 2555-2565 จะเห็นได้ว่าการทำรัฐประหารในปี 2557 ที่อ้างว่าเพื่อมาจัดการปัญหาการทุจริต กลับทำให้ปัญหาการทุจริตอยู่ในจุดที่เสื่อมทรามลง และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ก็เป็นเพียงเอกสารที่ไม่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงปัญหาคอร์รัปชันในเชิงระบบใดๆ กลายเป็นการสร้างระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกในสังคมไทยด้วยซ้ำ

...

นายวิโรจน์กล่าวต่อไปว่า การทุจริตมูลค่า 3 แสนล้านบาทที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ส่วนใหญ่มาจากการปล้นผู้ประกอบการที่รับงานภาครัฐ ระดมไถจากภาษีของประชาชน ทำให้การลงทุนภาครัฐอยู่ในจุดที่ด้อยคุณภาพ สาธารณูปโภคต่ำกว่ามาตรฐานที่ประชาชนควรจะได้รับ ทั่วโลกรู้ คนในประเทศรู้ เคยมีการสำรวจพบด้วยซ้ำว่า 1 ใน 6 ของคนไทยเคยเข้าไปมีส่วนโดยตรงในการถูกเรียกรับผลประโยชน์

ทั้งนี้ เท่าที่ตนได้ติดตามปัญหา ประเทศไทยยังคงอยู่ในวังวนของหลุมดำของการคอร์รัปชันทั้ง 9 หลุม ประกอบด้วย :

1) ระบบตั๋วเส้นสาย การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง ระบบอุปถัมภ์ และเครือข่ายทุนผูกขาด
2) การขาดความโปร่งใส และอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐ ทำให้ประชาชนอยู่ในภาวะที่ตรวจสอบได้ลำบาก
3) กฎหมายปิดปาก การคุกคามสื่อ และการลิดรอนเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์
4) การใช้อำนาจขององค์กรอิสระที่ปราศจากความรับผิดชอบ ไร้กลไกในการตรวจสอบถ่วงดุล แม้ความอิสระจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่ดี แต่ความอิสระก็สามารถเป็นสิ่งที่เป็นภัยร้ายได้ เมื่อองค์กรที่แอบอ้างว่าเป็นคนดีสามารถใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลจากภาคประชาชนหรือองค์กรอื่นใด
5) กฎหมายที่ล้าสมัย ที่เอื้อให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ เอื้อให้เกิดการผูกขาดหรือการฮั้วประมูล
6) การใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน ตั้งธงใช้นิติสงครามเล่นงานคนที่คิดต่าง แต่เมื่อพวกพ้องของตนเองทำผิด กลับสามารถหาข้ออ้างพิสดารมาปกป้องให้พ้นผิดได้อยู่เสมอ
7) ความไม่จริงจังในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาการคอร์รัปชัน หรือมีการบังคับใช้อย่างล่าช้า รวมถึงมีการใช้ช่องว่างทางกฎหมายมาหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตาม
8) การตอบสนองต่อการทุจริตคอร์รัปชันอย่างล่าช้าไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นตัวฉุดรั้งหลักที่ทำให้คะแนน CPI ตกต่ำ ใช้วิธีปฏิเสธอย่างหน้าไม่อาย ไม่ยอมรับว่ามีการกระทำความผิดหรือมีการทุจริตเกิดขึ้น ทั้งที่เป็นประเด็นที่โจษจันกันไปทั่วโลก ประชาชนรับรู้อย่างกว้างขวางแต่ผู้รับผิดชอบปฏิเสธตลอดเวลาว่าไม่เคยเกิดขึ้น
9) สังคมมองว่าการรีดไถและการเรียกรับผลประโยชน์ที่เป็นเรื่องปกติ กลายเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกัน

นายวิโรจน์กล่าวต่อไป ว่าที่ผ่านมาการคอร์รัปชันที่สร้างความเสียหายแก่สังคมอย่างมหาศาล มีดังต่อไปนี้

1) ระบบตั๋วและการซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นปฐมบทของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยปัจจุบันพบว่าแหล่งเงินในการซื้อขายตำแหน่งไม่ได้มาจากผู้มีอิทธิพลคนไทย แต่หลายแหล่งข่าวแจ้งว่ามาจากทุนจีนสีเทาและมาเฟียข้ามชาติ ทำให้ข้าราชการระดับสูงที่วิ่งเต้นซื้อตำแหน่งมาได้ ต้องคอยเป็นลูกสมุนรับใช้ ปกป้อง และอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ รวมทั้งลูกน้องพรรคพวกของคนเหล่านั้น

2) การเรียกรับผลประโยชน์ การรีดไถส่วยจากธุรกิจผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด บ่อนการพนัน พนันออนไลน์ แรงงานข้ามชาติ การค้าประเวณีเด็ก การลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษีหรือสินค้าผิดกฎหมาย

3) การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ตามอำเภอใจ และช่องว่างของกฎหมายที่ล้าหลังและโทษที่ไม่ได้สัดส่วน ในการกลั่นแกล้งรังแก เพื่อเรียกรับผลประโยชน์จากประชาชนผู้สุจริต ไม่ว่าจะเป็น ส่วยโรงแรม ส่วยสถานบันเทิง ส่วยรถบรรทุก ส่วยตรวจสภาพรถ ส่วยโอนที่ดิน ส่วยใบอนุญาตก่อสร้าง การตั้งด่านรีดไถประชาชน การค้าสำนวน การทำสำนวนให้อ่อน การวิ่งเต้นให้พ้นโทษ

4) การล็อกสเปกและการฮั้วประมูล ผ่านเงื่อนไขที่ถูกสร้างให้การประกวดราคาอยู่ในสภาพผูกขาด เช่น กรณีประกาศคณะกรรมการราคากลาง ที่กีดกันไม่ให้ผู้รับเหมาชั้น 1 ของโครงการก่อสร้างทาง เลื่อนชั้นเป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษ เอื้อให้เกิดการฮั้วประมูลโดยถูกกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังพบว่า โครงการขนาดใหญ่ โครงการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะหลายโครงการ ใช้ช่องว่างของกฎหมายในการหลบเลี่ยงในการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม ทั้งที่มีข้อมูลทางสถิติยืนยันว่าโครงการที่จัดทำข้อตกลงคุณธรรมนั้นประหยัดงบประมาณได้สูงถึง 31.32%

นายวิโรจน์ กล่าวต่อ ว่าการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทย ไม่สามารถแก้ได้ด้วยท่าทีขึงขังหรือใช้อำนาจเผด็จการข่มขู่ว่าจะปราบปราบ ดูได้จากกรณีของ คสช. ที่แม้ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตามมาตรา 44 แต่ก็เป็นที่ปรากฏแล้วว่าอำนาจเหล่านั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันได้เลย ซ้ำร้ายสิ่งที่ คสช. ทำคือการสร้างเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ที่เอื้อพวกพ้องของตนได้เข้าสู่อำนาจ ผูกขาดกินรวบทรัพยากรและผลประโยชน์ของประเทศชาติ จนทำให้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันหยั่งรากลึกจนยากที่จะแก้ไข

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจำเป็นต้องแก้ไขที่โครงสร้าง ตลอดจนมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยควบคู่กันไปด้วย มีการดำเนินนโยบาย และตรากฎหมายที่ส่งเสริมความโปร่งใส คุ้มครองเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ตลอดจนมีการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง โดยตนมีตัวอย่างที่ขอนำเสนอ ที่นายกรัฐมนตรีดำเนินการได้ทันที ประกอบด้วย

1) การแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง, พ.ร.ก.การบริหารการจัดการทำงานคนต่างด้าว และ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่อแก้ไขปัญหาส่วยแรงงานข้ามชาติ
2) การแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.โรงแรม และ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร เพื่อส่งเสริมให้โรงแรมต่างๆ เลิกถูกรีดไถเสียที สามารถขอจดทะเบียนได้อย่างถูกต้อง ป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายในการรีดไถเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการโรงแรมและโครงการก่อสร้างต่างๆ
3) การแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เพื่อให้เงินนอกงบประมาณมีความโปร่งใสมากขึ้น
4) การแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ที่มุ่งเน้นความโปร่งใส และส่งเสริมการตรวจสอบจากภาคประชาชน
5) การเข้าร่วมเป็นภาคีเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership-OGP) รวมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูลด้านงบประมาณอย่างโปร่งใส
6) การออก พ.ร.บ.มาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปากในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ (Anti-SLAPP Act) เพื่อส่งเสริมการตรวจสอบถ่วงดุลจากภาคประชาชน
7) การออก พ.ร.บ.ปกป้อง และยกเว้นโทษให้กับผู้เปิดเผยข้อมูลการทุจริต เพื่อการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันทั้งขบวนการแบบถอนรากถอนโคน
8) การแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อไม่ให้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ ถูกนำไปใช้คุกคามเสรีภาพในการแสดงออก และการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน
9) การบังคับใช้มาตรา 77 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ อย่างเคร่งครัด ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจให้มีธรรมาภิบาล ไม่มีระบบตั๋ว ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง และแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สามารถตรวจสอบถ่วงดุลการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในท้องที่ได้อย่างแท้จริง
10) การบังคับใช้มาตรา 131 และมาตรา 176 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อการคุ้มครองพยาน และเอาผิดกับนิติบุคคลที่เสนอเงินสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
11) การแก้ไข พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ, พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้หลักเกณฑ์ในการขออนุญาตต่างๆ มีความชัดเจน ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ลง ตลอดจนเร่งรัดกระบวนต่างๆ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
12) การแก้ไข พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน, พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ และ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพื่อให้โครงการสำคัญต่างๆ เข้าร่วมการจัดทำข้อตกลงคุณธรรมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
13) การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้องค์กรอิสระ มีการตรวจสอบและถ่วงดุล ไม่อยู่ในสภาพที่แสร้งเอาคำว่า “อิสระ” มาเป็นข้ออ้างในการใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยปราศจากความรับผิด
14) การแก้ไขประกาศของคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ไม่ให้มีเนื้อหาสาระที่กีดกันการเลื่อนชั้นของผู้รับเหมา จนทำให้ผู้รับเหมาชั้นพิเศษอยู่ในสถานะกึ่งผูกขาด เอื้อให้เกิดการฮั้วประมูล
15) การทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรอิสระ เช่น การอาศัยมาตรา 85 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน และมาตรา 32 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในการแก้ไขปรับปรุง กฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ และมติ ครม. ต่างๆ ที่เอื้อให้เกิดการผูกขาด หรือเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐได้ใช้ดุลพินิจหรือใช้ช่องว่างของกฎหมายในการเรียกรับผลประโยชน์

นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า 15 มาตรการข้างต้นเหล่านี้เป็นตัวอย่างเบื้องต้นเท่านั้น แต่ล้วนเป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้โดยไม่ยากเย็น หากนายกรัฐมนตรีมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถให้ความร่วมมือกับสภา และสั่งการดำเนินการได้ทันที

“ผมย้ำตรงนี้อีกครั้งว่า สภาพของความขึงขัง เรียกข้าราชการไปนั่งบ่นนั่งด่า หรือการจัดอีเวนต์ในการปราบปราม อย่างดีที่สุดก็ทำให้การทุจริตคอร์รัปชันกบดานหายตัวไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่พอเวลาผ่านไปสักพักสิ่งโสโครกเหล่านั้นก็จะผุดกลับขึ้นมาใหม่ด้วยวิธีการที่แยบยลตรวจสอบได้ยากกว่าเดิม ที่สำคัญวันนี้จีนสีเทา มาเฟียข้ามชาติ ธุรกิจผิดกฎหมาย ก็จะแห่แหนกันมาลงหลักปักฐานที่ประเทศไทย การรีดไถเก็บส่วยจะมีเต็มบ้านเต็มเมือง โจษจันกันไปทั่วโลก ขัดขวางการลงทุนในธุรกิจสุจริตจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น จะมีแต่ new s-curve เป็นธุรกิจสีเทา เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ ถ้าบ้านเมืองเรายังเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน ผมกังวลว่าประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศต้องสาปที่ไม่สามารถพัฒนาได้ดีกว่านี้” วิโรจน์ กล่าว

ในส่วนนายณัฐพงษ์ ระบุว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้าออกไปเป็นเพราะบริบททางการเมืองในปีนี้ ที่มีการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลที่คาบเกี่ยวกับช่วงเวลาในการจัดทำงบประมาณ แต่ถึงจะมาช้าแต่ก็ไม่สายเกินไปที่นายกรัฐมนตรี จะทำให้การจัดทำงบประมาณปี 2567 เป็นงบประมาณที่มีความโปร่งใส และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น

1) ไม่สายเกินไปที่จะให้เวลา ตามปฏิทินการจัดทำและพิจารณางบประมาณปี 2567 ของสำนักงบประมาณ มีการกำหนดว่าในวันที่ 26 ธันวาคม 2566 เป็นวันที่จะมีมติ ครม. รับรองร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือที่เรียกกันว่าเอกสารขาวคาดแดงส่งเข้าสภา แต่ก็เป็นช่วงเดียวกับวันหยุดปีใหม่ ซึ่งกว่าที่จะเข้าสภาจริงได้ก็คือวันที่ 3 มกราคม 2567 ไม่มีทางที่สำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) สส. 500 คน สื่อมวลชน และประชาชนจะมีเวลามากพอในการศึกษาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณนี้

ดังนั้น ในฐานะพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียงข้างน้อยในสภา คงไม่สามารถผลักดันเรื่องนี้ได้ถ้ารัฐบาลไม่ให้ความร่วมมือด้วย สิ่งที่นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้ คือการพูดคุยในพรรคร่วมรัฐบาลและกลไกวิปพรรคร่วมฝ่ายค้าน-ฝ่ายรัฐบาล นำเสนอประธานสภาผู้แทนราษฎรในการเลื่อนกำหนดวาระการประชุมงบประมาณวาระ 1 ออกไป 1 สัปดาห์ ซึ่งไม่ทำให้งบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ล่าช้าออกไป และจะส่งผลสำคัญต่อการพิจารณา 3.48 ล้านล้านบาทในต้นปีหน้าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

2) ไม่สายเกินไปที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมกับการพิจารณางบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรเลย ทั้งที่ IBP หรือหน่วยงานสากลที่ทำผลสำรวจการจัดทำงบประมาณที่ครอบคลุม 120 ประเทศทั่วโลก เคยออกมาให้คำแนะนำประเทศไทย ที่นอกจากคะแนน IBP ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นแล้ว ยังมีคะแนน IBP อยู่อันดับรั้งท้ายด้วย เช่น คะแนนการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้เพียง 11 จาก 100, คะแนนข้อมูลงบประมาณเห็นภาพรวม ได้ 59 จาก 100 และคะแนนความโปร่งใสของกระบวนการจัดทำงบประมาณ ได้ 58 จาก 100 ซึ่งอยู่ติดกับประเทศในกลุ่มประเทศโลกที่ 3 ทั้งสิ้น

สิ่งที่นายกรัฐมนตรีสามารถทำได้ทันทีเช่นเดียวกัน คือการเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม รัฐสภาหลายประเทศเปิดให้ประชาชนเข้ามาสังเกตการณ์เป็นสักขีพยาน เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถทำได้ทันที และพิสูจน์ความจริงใจว่ารัฐบาลมีเจตจำนงที่จะทำงบประมาณให้มีความโปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น

3) ไม่สายเกินไปที่จะทำให้การจัดทำงบประมาณมีความโปร่งใส จากการอภิปรายงบประมาณ “ชิดชอบบุรี” หรืองบประมาณซ่อมและสร้างถนนที่มีการกระจุกตัวอยู่ในบางจังหวัดที่ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายในสภาในงบปี 2566 ในงบประมาณปีนี้มีทีท่าว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอย นั่นคืองบประมาณในการสร้างฝายเก็บน้ำเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งเอลนีโญ

กรณีดังกล่าวมีความน่าสงสัย คือมีการตั้ง ชง อนุมัติ และจบภายใน 20 กว่าวัน เป็นการสร้างฝาย 4 พันแห่ง ด้วยงบประมาณ 2 พันล้านบาท โดยใช้เงินอุดหนุนเฉพาะกิจของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย คำถามคือฝาย 4 พันแห่งพิจารณาจบภายใน 20 กว่าวันสามารถพิจารณาได้ถูกต้องตามหลักวิชาการหรือไม่

นอกจากนี้ทั้ง สทนช. และ สสน. และหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ เคยให้ความเห็นว่าฝายไม่ได้มีความเหมาะสมในการจัดการปัญหาภัยแล้งในทุกพื้นที่ และไม่เคยมีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการสร้างฝ่ายทั้ง 4 พันแห่งนี้

สิ่งที่น่าตั้งข้อสงสัยต่อไป คือการที่งบประมาณในการสร้างฝายต่อแห่งเฉลี่ยอยู่ที่ราว 5 แสนบาท ซึ่งอยู่ในกรอบที่ไม่ต้องทำ e-bidding นี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรต้องทำให้เกิดความโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลงบประมาณออกมา ว่างบประมาณในการดำเนินโครงการเหล่านี้ ถูกจัดสรรลงไปในพื้นที่ใดบ้าง

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวต่อไป ว่าปีนี้เป็นปีแรกที่พรรคก้าวไกลมีความตั้งใจที่จะทำให้การจัดทำงบประมาณมีมิติใหม่เกิดขึ้น นั่นคือการเปิดเผยข้อมูลคำของบประมาณ 5.8 ล้านล้านบาท ก่อนถูกตัดลงมาเหลือ 3.48 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่หน่วยรับงบประมาณ ส่งข้อมูลความต้องการงบประมาณไปที่สำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการตัดและจัดสรรงบประมาณ

ทั้งนี้ สำนักงานประมาณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับใคร หรือชี้แจงถึงเกณฑ์ในการจัดสรร การตัด หรือการเลือกพื้นที่ลงงบประมาณกับใคร ทางกรรมาธิการการศึกษาการจัดทำและติดตามงบประมาณ ได้พยายามทำหนังสือขอข้อมูลไปที่สำนักงบประมาณแล้ว แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าการจัดสรรงบประมาณยังไม่ผ่านมติ ครม. ไม่สามารถให้ข้อมูลได้

นี่จึงเป็นที่มาที่ กมธ.ติดตามงบฯ ได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำหนังสือขอข้อมูลโดยตรงไปยังหน่วยรับงบประมาณ 464 ฉบับ ได้ข้อมูลคำของบประมาณมาแล้ว 18 จาก 20 กระทรวง กลายเป็นคำถามว่าทำไมกระทรวงถึงให้ข้อมูลเราได้แต่สำนักงบประมาณให้ข้อมูลเราไม่ได้

นายณัฐพงษ์ ระบุต่อไปว่า นี่เป็นเรื่องที่ต้องถามโดยตรงไปยังนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลสำนักงบประมาณโดยตรง ว่านายกรัฐมนตรีสามารถให้ข้อมูลนี้แก่ กมธ. ได้หรือไม่ เรื่องนี้ถ้านายกรัฐมนตรีมีความจริงใจ ไม่อยากปกปิด สามารถสั่งการให้สำนักงบประมาณส่งข้อมูลไปยังสภาผ่าน กมธ.ติดตามงบฯ เพื่อจะได้มีภาพรวมคำของบประมาณอย่างสมบูรณ์ จะได้วิเคราะห์ต่อไปว่าการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลมีความเหมาะสม มีการกระจายตัวหรือกระจุกตัวในพื้นที่ใดบ้าง นี่ต่างหากที่จะเป็นการลงมือพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาการทุจริต

สุดท้าย นอกจากการเปิดเผยการจัดทำงบประมาณแล้ว การใช้งบประมาณก็มีความสำคัญ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งที่ผ่านมามีการประกาศจากรัฐบาลชุดที่แล้วตั้งแต่ปี 2558 ว่าประเทศไทยจะเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกความร่วมมือเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (OGP) ซึ่งมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีการเปิดเผยการใช้งบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างในรูปแบบที่ผ่านเกณฑ์ แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

เมื่อวานนี้ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้เข้าไปชี้แจงคำของบประมาณใน กมธ. ว่าในงบประมาณปี 2567 กรมบัญชีกลางได้ตั้งโครงการเพื่อจัดทำระบบการเปิดเผยการจัดซื้อจัดจ้างแบบเรียลไทม์ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างที่น่าสงสัยให้ประชาชนร่วมกันตรวจสอบได้

แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานในระดับปฏิบัติการพร้อมแล้ว ที่จะทำให้เกิดระบบการเปิดเผยข้อมูลการใช้งบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งหากเกิดขึ้นเมื่อไร ประเทศไทยจะได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นและเข้าร่วม OGP ได้ ขาดแต่เพียงการออกมาประกาศเจตจำนงที่ชัดเจนของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

“ผมขอส่งเสียงเรียกร้องว่าวันพรุ่งนี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีเข้าพบกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน อยากให้ท่านประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ว่ารัฐบาลชุดนี้จะเข้าเป็นสมาชิก OGP ให้ได้ภายใน 2 ปี ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าภายใต้บริบทของประเทศในปัจจุบัน เราสามารถทำได้” ณัฐพงษ์ กล่าว

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...