เงินหมื่นกลุ่มเปราะบางเหลือ 3.7 แสนราย ปัดจ่าย 5,000 เฟส 2 ชี้ ยังไม่มีข้อสรุป

“จุลพันธ์” เผย โอนเงิน 10,000 เฟสแรก เหลืออีก 3.7 แสนกว่าราย ติดปัญหาบัญชี-บัตรหมดอายุ รับ มีส่วนน้อยใช้ผิดวัตถุประสงค์ ปัดจ่าย 5,000 เฟส 2 ชี้ ยังไม่มีข้อสรุป กำชับสรรพากรตรวจสอบอินฟลูฯ-แม่ค้าออนไลน์เลี่ยงภาษี

วันที่ 1 ตุลาคม 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการโอนเงิน 10,000 บาทโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ ซึ่งในกลุ่มผู้พิการยังมีรายที่ค้างอยู่จำนวน 8,829 ราย ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องบัตร และมีบางส่วนสิทธิซ้ำกับกลุ่มเปราะบาง ประมาณ 93,000 ราย

ส่วนในกลุ่มเปราะบาง ยังเหลืออีก 372,458 ราย ซึ่งมีปัญหาเรื่องบัญชีไม่เดิน และยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์ ซึ่งในกลุ่มนี้หากมีการตรวจสอบสิทธิแล้วแต่ยังไม่ได้เงิน ต้องไปประสานกับธนาคารและไปดำเนินการผูกพร้อมเพย์กับหมายเลขบัตรประชาชนให้เรียบร้อย โดยทางกระทรวงการคลังจะมีการโอนเงินซ้ำอีก 3 ครั้งตามรอบ

ขณะเดียวกัน นายจุลพันธ์ ยังชี้แจงถึงกรณีที่มีการโอนเงินเข้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ให้กับประชาชนผู้มีสิทธิแต่ถูกหักหนี้จากบัญชีอัตโนมัติ โดยยืนยันว่าไม่มีการหักบัญชีทันที เป็นความเข้าใจผิดของผู้รับสิทธิเอง และมีบางรายที่ไปผูกพร้อมเพย์กับธนาคารอื่นแต่ไม่รู้ตัว โดยขณะนี้จำนวนเม็ดเงินที่เข้าไปในระบบทั้งหมด ประมาณ 141,000 ล้านบาท และจะมีผลต่อการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ 3.35%

สำหรับประเด็นที่ประชาชนมีการนำไปซื้อสุรา ซื้อหวย อาจจะไม่ตอบโจทย์การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น นายจุลพันธ์ ยอมรับว่ารัฐบาลต้องคิดให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว เพราะหากรออีก 3 เดือน จะยิ่งส่งผลกระทบทางลบด้านเศรษฐกิจ จึงต้องมีการปรับรูปแบบซึ่งเชื่อว่าเป็นผลดี และตรงกับความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาจจะมีการใช้ที่นอกเหนือความคาดหวังของรัฐบาลบ้าง แต่เป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับผู้มีสิทธิทั้งหมด และในเฟสถัดไปก็จะพยายามทำให้เป็นรูปแบบดิจิทัล พร้อมปฏิเสธว่ายังไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายเพียง 5,000 บาท ในเฟสที่ 2 ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ คณะกรรมการทุกอย่างต้องมีกลไก โดยรอผลการประชุมจากคณะกรรมการ

...

เมื่อถามต่อไปว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นไปตามเป้าเดิมของรัฐบาลหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจลดไปตามสัดส่วน แต่เม็ดเงินที่เติมลงไปไม่ได้หายไปไหน ยังมีสภาพคล่องในระบบหมุนเวียน อาจจะมีการรั่วไหลบ้าง แต่เม็ดเงินจะเป็นตัวหมุนในระบบเศรษฐกิจโดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น ถัดจากนั้นจะต้องดูระยะเวลาที่เหมาะสมในการเติมเม็ดเงินลงไปอีกรอบ เพื่อเป็นแรงบวกในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม

ผู้สื่อข่าวถามต่อไป จะต้องเป็นช่วงเทศกาล เช่น สงกรานต์ ปีใหม่ หรือจะเก็บไว้เป็นไพ่เด็ดช่วงโลว์ซีซันเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวหรือไม่ นายจุลพันธ์ ระบุว่า ยังไม่สามารถกำหนดได้ แต่จะห่างจากเฟสแรกไปก็ไม่ดี เพราะจะทำให้เกิดแรงเฉื่อย ดังนั้น ต้องเติมเข้าไปในจังหวะเวลาที่เหมาะสม

ทางด้านกรณีที่ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน วิจารณ์ว่าพายุหมุนทางเศรษฐกิจจะไม่เกิดขึ้นแล้ว นั้น นายจุลพันธ์ ระบุว่า ตั้งแต่เริ่มโอนเงินก็เกิดการจับจ่าย ใช้สอยคึกคักแล้ว สิ่งที่ได้คือการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นของรัฐบาล ส่วนคำถามว่าในช่วงปลายปีจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ออกมาหรือไม่ นายจุลพันธ์ ระบุว่า มีกำลังคุยอยู่ แต่จะเป็นคนละครึ่ง หรือเที่ยวด้วยกัน ยังไม่ได้ข้อสรุป

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าหากเป็นโครงการเหล่านี้แล้วจะกลายเป็นข้อครหา ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เพราะเคยวิจารณ์โครงการดังกล่าวไว้เยอะ นายจุลพันธ์ ตอบว่า “ต้องดูตามภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ จะเอาเรื่องพวกนั้นมาเป็นตัวตั้งไม่ได้ และพวกตนคงไม่เอาเรื่องนี้มาเป็นอุปสรรค แต่จะดูสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด การจะเอาศักดิ์ศรีมาคงไม่ใช่ แต่ต้องเอาประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก”

นายจุลพันธ์ ยังย้ำด้วยว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้นอยู่ที่ความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของรัฐบาล รวมถึงนโยบายที่มีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความเชื่อมั่นของรัฐบาลกับการที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลับมติ สส. เรื่องร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ถือเป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐบาลหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระบวนการในสภา และวุฒิสภาก็มีความคิดอิสระ เป็นขั้นตอนตามปกติ ไม่ใช่การเซาะกร่อนบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล แต่ต้องหาจุดร่วมกันให้ได้

อย่างไรก็ตาม นายจุลพันธ์ ในฐานะที่กำกับดูแลกรมสรรพากร ยังได้ให้สัมภาษณ์ถึงการจ่ายภาษีของอินฟลูเอนเซอร์และแม่ค้าออนไลน์ด้วยว่า ตอนนี้ได้สั่งการให้ลงตรวจสอบดู เพราะเป็นภาระหน้าที่ของคนไทย ที่หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องเสียภาษี ซึ่งการค้าขายออนไลน์ก็มีการเก็บภาษี VAT ทั้งประเทศ ส่วนภาษีบุคคลก็ต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง แต่ไม่ได้ตั้งเป้าตั้งธงขนาดนั้นเพราะทุกคนก็ทำมาค้าขาย เพียงแต่ต้องตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่วนกรณี น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือ แม่ตั๊ก กับกานต์พล เรืองอร่าม หรือ ป๋าเบียร์ ที่ขายทองนั้น ได้เข้าไปเป็นการตรวจสอบหรือไม่ นายจุลพันธ์ ตอบว่า ตนขอไม่พูดเป็นเคสดีกว่า.

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ศุภาลัย บิสซิเนส สคูลชูแนวคิด "Low Risk High Return"ลดความเสี่ยง

หลายคนคงคุ้นกับแนวคิด “High Risk High Return” ยิ่งการลงทุนมีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็จะสูงตาม ซึ่งถูก...

การเลือกตั้งสหรัฐฯ ชี้ชะตาตลาดหุ้น ?

เราได้เดินทางมาสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 กันแล้ว อีกไม่ถึงหนึ่งเดือน เหตุการณ์ที่สำคัญของโลกก็จะเวี...

จุดเปลี่ยนของตลาดการลงทุนโลก และเป้าหมายถัดไปสำหรับการลงทุนก่อนเข้าสู่ปี 2025

ในปัจจุบันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงสดใส โดยนักลงทุนยังอยู่ในโหมดเปิดรับความเสี่ยง (Risk...

เดิมพันขุมทรัพย์พลังงาน ‘ไทย-กัมพูชา’ เปิดชื่อผู้รับสัมปทานเดิม 'เชฟรอน' 5 แปลง

“พลังงาน” เผยเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล “ไทย-กัมพูชา” ไม่คืบ จี้ “ครม.” ตั้งคณะทำงานเจรจาดึงทรัพยากร...