‘ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือ’ เปิดมุมมองผู้บริหารไทยใช้ AI สร้างกลยุทธ์

กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จัดงานเสวนาเพื่อหาคำตอบว่า “เอไอจะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจไปในทิศทางใด” และจะช่วยปลดล็อกโอกาสทางธุรกิจสู่ตลาดใหม่ๆ ได้อย่างไร 

ตามรายงานจาก World Economic Forum เรื่อง “The Future of Jobs Report 2023” คาดการณ์ว่าภายในปี 2027 เอไอและ Machine Learning จะสร้างงานใหม่มากกว่า 97 ล้านตำแหน่งทั่วโลก ในขณะเดียวกันก็จะทำให้งานบางประเภทหายไปประมาณ 85 ล้านตำแหน่ง 

นอกจากนี้ ข้อมูลจาก McKinsey Global Institute ระบุว่า เอไอมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจทั่วโลกได้ถึง 13 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในภาคธุรกิจการค้าปลีกและการผลิต 

ปรับตัวหรือตกขบวน

สอดคล้องกับมุมมองของ ปริชญ์ รังสิมานนท์ ผู้บริหารลูลู่ เทคโนโลยี กล่าวว่า เอไอไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ “บิล เกตส์” ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ พูดไว้ และเขาก็มีความเชื่อเหมือนกับบิล เกตส์ว่า เอไอจะมีบทบาทอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงโลกของเราในระยะ 5 ปีข้างหน้า 

ปริชญ์ กล่าวว่า จะมีธุรกิจที่ล้มหายตายจากเพราะเอไอเข้ามา แต่ก็มีธุรกิจใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะเอไอเช่นเดียวกัน สถานการณ์ต่อไปคือ บริษัทใหญ่ใช้เอไอฆ่าบริษัทเล็ก โดยบริษัทใหญ่กำลังใช้เอไอเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ส่วนคนที่ใช้เอไอเป็นจะมีความได้เปรียบกว่าคนที่ใช้ไม่เป็น

“ก่อนหน้าที่เทมู (Temu) จะเข้ามา เราเห็นสัญญานต่างๆ ของคนจีนว่าเริ่มเข้ามาขายของในเมืองไทย เราเห็น แต่ไม่มีใครทำอะไรเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้จริงจัง จนตอนนี้เทมูได้เข้ามาเปิดแพลตฟอร์มขายของแข่งกับแพลตฟอร์มคนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ดังนั้น เอไอก็เหมือนกัน ณ วันนี้เราเห็นว่ามันกำลังมา ที่จริงตอนนี้มันมาแล้วด้วย หากเรามัวแต่กลัวเอไอ หรือไม่ยอมปรับตัวเพื่อเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากเอไอ คงจะเกิดการดิสรัปชันในอีกหลายด้าน”

ปริชญ์ยกตัวอย่างการนำเอไอมาใช้ในธุรกิจ เช่น การวางแผนการขายให้ร้านค้าปลีกหลายสาขา การจัดการพื้นที่โรงงานเฟอร์นิเจอร์ และการใช้ในงานขายประกันและคอลเซ็นเตอร์ พร้อมเตือนว่าหลายอาชีพอาจหายไปในอนาคต เช่น คอลเซ็นเตอร์ พนักงานแอดมินตอบแชต และกราฟิกดีไซเนอร์

“คนรุ่นใหม่น่าจะกระทบน้อยกว่าคนรุ่นอื่น เพราะพวกเขาโตมากับเทคโนโลยี แต่ก็ต้องพร้อมปรับตัว เพราะหลายอาชีพอาจจะหายไป พัฒนาการของเอไอในอนาคตเรื่องของผลกระทบต่อมนุษยชาติมีความน่ากลัวก็จริง แต่ ณ ตอนนี้ที่น่ากลัวมากกว่าคือ เราตามคนอื่นไม่ทัน แล้วมันก็จะมีการตกราง หรือว่าอย่างที่สอง คือ กระโดดลงไปโดยที่ยังไม่รู้อะไรเลย”

สำหรับคำแนะนำ ปริชญ์เน้นย้ำว่า “สิ่งสำคัญคือต้องมีความแตกต่างของตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทำได้โดยการอ่านให้มาก เจอผู้คนให้เยอะ และทำกิจกรรมให้หลากหลาย และต้องกลับบ้านไปริเริ่มทำอะไรเกี่ยวกับเอไอเป็นชิ้นเป็นอัน

เริ่มต้น Upskill ของตน ไม่ใช่แค่ฟังผ่านๆ แล้วก็จบ เพราะมันจะไม่เกิดประโยชน์ ไม่เกิดการใช้งานจริงและอาจตกขบวนเสี่ยงโดนทดแทนแรงงานได้อย่างจริงๆ”

เอไอกับ Net Zero โอกาสใหม่ของธุรกิจพลังงานสะอาด

ด้าน เฑียร จึงวิรุฬโชตินันท์ Head of Marketing บริษัท คอรัล ไลฟ์ จำกัด ได้พูดถึงการนำเอไอมาใช้ในจัดการอาคาร โดยกล่าวว่า เอไอเข้ามามีบทบาทในภาคพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เพราะต่อไปเราจะเข้าสู่ Net Zero หรือลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้มากที่สุดภายใน 2030 และให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050 ทำให้หลายอุตสาหกรรมมีความตื่นตัวและเริ่มมีการนำระบบเอไอเข้ามาช่วยในการควบคุมและลดขั้นตอนการทำงานต่างๆ 

“เวลาเราสร้างอาคาร เราไม่ได้มองให้มันอยู่ 10-20 ปี แต่เราสร้างให้มันอยู่ได้ถึง 60 ปี ดังนั้น อาคารที่ดีนั้นต้องมีความยั่งยืน 

การออกแบบ ใช้งาน สร้างอาคาร เราจะดูแลอาคาร 1 อาคาร เราจะใช้ Technical กี่คน หากจะรวบรวมรีเสิร์ชข้อมูลใช้เวลากี่วัน เมื่อก่อนทำเป็นระบบแมนนวล ที่ใช้คนมหาศาล ปัจจุบันมีเอไอเข้ามาช่วนลดระยะเวลาการทำงาน เพิ่มความแม่นยำมากขึ้น ไม่ต้องเพิ่มจำนวนแรงงานคน ช่วยลด Cost ลงได้

“เอไอมาใช้เอไอช่วยรวบรวมข้อมูลให้ แล้วเราจะทำอย่างไรให้มันเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นเอไอ ไม่ได้มาแทนเรา แต่มันมาช่วยเรา”

เฑียรยังยกตัวอย่างการใช้เอไอการควบคุมระบบอัตโนมัติภายในอาคารและและธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ได้แก่

1. การลดการใช้ไฟฟ้าในห้องที่ไม่มีคนใช้งาน เพื่อรักษาคุณภาพอากาศภายในอาคารให้สะอาดตลอดเวลา โดยไม่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากเกินไป เป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีอย่างออโตเมชันและการจัดการที่ชาญฉลาด

2. การใช้เอไอและ Machine Learning (ML) ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์และกล้องวงจรปิด เพื่อตรวจจับความผิดปกติในการใช้พลังงานหรือการทำงานของระบบต่างๆ ที่มีสัญญาณเตือนโดยอัตโนมัติเมื่อพบความผิดปกติ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

3. การประยุกต์ใช้ในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) การใช้กล้องวงจรปิดร่วมกับเอไอเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เช่น ช่วงเวลาที่มีลูกค้าเข้าร้านมากที่สุด และยังช่วยวิเคราะห์ว่ายอดขายเกิดจากปฏิสัมพันธ์หน้าร้านหรือหลังบ้านมากกว่ากัน

นอกจากนี้ เอไอที่เก็บข้อมูลยังสร้างแดชบอร์ดที่รวบรวมข้อมูลทั้งหมด ทำให้สามารถดูผลการดำเนินงานของแต่ละแผนกหรือสาขาได้อย่างชัดเจน และนำมาเปรียบเทียบข้อมูลข้ามปีเพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม-ปรับปรุงกลยุทธ์ของธุรกิจ

“แม้ว่าเอไอจะมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก แต่การตีความและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ยังคงต้องอาศัยปัญญาของมนุษย์ เช่น สังเกตได้ว่ามีการใช้ไฟฟ้าที่สูงผิดปกติในช่วงที่ไม่มีการใช้งาน อันนี้ต้องใช้ปัญญาของมนุษย์เพื่อคิดต่อแล้ว” 

ทั้งนี้ เขายังสรุปว่า “ใช้ใจทำสิ่งที่ตอบโจทย์ของลูกค้า แล้วใช้เอไอให้เป็นเครื่องมือ เอไอจะรวบรวมข้อมูลให้เรา ส่วนเรามีหน้าที่ทำให้ข้อมูลนั้นเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น”

สำหรับประเทศไทย รายงานจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ระบุว่า ตลาดเอไอในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 33.5% ต่อปี ระหว่างปี 2022-2025 โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 2.4 หมื่นล้านบาทในปี 2025 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายที่ธุรกิจไทยกำลังเผชิญในยุคเอไอ

งานเสวนานี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเอไอที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางธุรกิจ และความจำเป็นในการปรับตัวของทั้งองค์กรและบุคลากรเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มระดับโลกและระดับประเทศที่กำลังเกิดขึ้น

เดินหน้าสู่คลื่นลูกใหม่ 'Agentic AI'

สุธีรพันธุ์ สักรวัตร Chief Customer Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (SCBX) กล่าวว่า สำหรับ GenAI เมื่อได้ใช้งานจริงและประเมินความคุ้มค่าพบว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างทั้งดี ไม่ดี รวมถึงไม่ได้ต่างจากเดิม

โดยต้องยอมรับว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งจะพบกับทางตัน ดังนั้นสิ่งที่ควรมองไปข้างหน้าคือ คลื่นลูกใหม่ของการใช้งาน AI ซึ่งก็คือ “Agentic AI”

“วันนี้การใช้งานจริงยังเป็นเรื่องทั่วๆ ไป ซึ่งอาจไม่สามารถตอบโจทย์ความซับซ้อนของมนุษย์ได้ทั้งหมดและต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาต่อยอด โดยสิ่งหลายๆ คนคาดหวังคือ ตัวช่วยที่ทำงานได้แบบอัตโนมัติโดยที่มนุษย์ไม่ต้องมาเสียเวลา”

อย่างไรก็ดี สิ่งที่คนไทยทำได้ดีคงไม่ใช่การพัฒนาโมเดล GenAI แต่เป็นโซลูชันตัวเล็กๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงและเข้ากับบริบทของธุรกิจ ซึ่งหากทำได้ดีจะสามารถควบคุมต้นทุนได้มากขึ้นเพราะหลายๆองค์กรคงไม่อาจซื้อไลเซ่นส์เครื่องมือ GenAI ให้พนักงานได้ทุกคน

ด้านประโยชน์ ไม่เพียงแค่การตลาด พัฒนาบริการด้านการเงิน หรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ แต่สามารถนำไปพัฒนาได้หลากหลาย เช่น การบริหารจัดการงานหลังบ้าน รวมถึงด้านการกำกับดูแลซึ่งหากให้มนุษย์ทำอย่างเดียวอาจเสียเวลาอย่างมาก

สำหรับ เอสซีบี เอกซ์ อยู่ระหว่างพัฒนา LLM สัญชาติไทย เพื่อใช้ภายในองค์กร เช่น ด้านการบริการลูกค้า งานด้านเอชอาร์ การวิเคราะห์เพื่อการตลาด ซึ่งนับเป็นการวิ่งมาราธอนที่ไม่มีวันจบ และอนาคตเป็นไปได้ที่จะเปิดให้ได้ใช้งานทั่วไปเพื่อให้คนไทยใช้โมเดล AI ที่ประหยัดมากกว่า

โดยการเริ่มต้นอย่าพยายามคิดว่าจะสร้างนวัตกรรม ให้เริ่มจากว่าองค์กรของเรามีปัญหาอะไรและ AI จะช่วยอะไรได้บ้าง

“ผมคิดว่าวันนี้ทุกคนพร้อมที่ลงทุนใช้งาน แต่ประเด็นคือ How? มากกว่า จากประสบการณ์การทรานส์ฟอร์มองค์กรไปเป็น AI first Organization จะแบ่งเป็นสองฝั่งคือมุมที่เปลี่ยนผ่านเพื่อใช้งาน และทีมที่จะพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้งานเชิงลึกโดยเริ่มต้นจากดาต้า ที่สำคัญคือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรซึ่งผู้บริหารระดับสูงต้องให้ความสำคัญและเป็นผู้นำในการขับเคลื่อน”

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘ไทย’ ร่วงลงสองอันดับ! ใน IMD World Talent Ranking ปี 2024 ส่วนสิงคโปร์นำโด่ง

จากการจัดอันดับ “ประเทศที่มีความเป็นเลิศในด้านบุคลากรผู้มีความสามารถประจำปี 2024” (The 2024 IMD Worl...

Apple วางขาย iPhone 16 พร้อมนวัตกรรมความยั่งยืน ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 85%

Apple ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการวางขาย iPhone 16 ที่เน้นความยั่งยืน โด...

ผล 1 ปีกับความคืบหน้า ESG Symposium ส่งไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สู้โลกเดือด

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เห็นผลเป็นรูปธรรม ตาม 4 ข้อเสนอจากงาน ESG Symposium 2023 ทั้งสร้าง "สระบุรี...

‘ลาซาด้า’ เดินเกมทำกำไร ชู '3 กลยุทธ์' สร้างยุคใหม่อีคอมเมิร์ซ

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ลาซาด้ายังเดินหน้าลงทุนใน...