3 สว. อภิปรายเสนอแนะรัฐบาลในการประชุมรัฐสภา ด้าน “เฉลิมชัย” ถามหา “นายกฯ เศรษฐา” ไปไหนไม่อยู่ฟัง ฝากพรรคก้าวไกลเกาะติดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท หวั่นประชาชนเสพติดรอเงินจากรัฐอย่างเดียว
ฝากนายกฯ ใหม่ เห็นหัวประชาชน-มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ
เมื่อเวลา 19.20 น. วันที่ 11 กันยายน 2566 นายแพทย์อำพล จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวอภิปรายในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในวาระเรื่องด่วน การแถลงนโยบายรัฐบาล ว่า ภาพรวมนโยบายค่อนข้างไปทางการแก้เศรษฐกิจสั้นและกลาง และมองว่านโยบายหวังผลเร็วอาจจะไปเอื้อธุรกิจใหญ่ ไม่ใช่การสนับสนุนเท่ากัน พร้อมมองว่าต้องมีนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้าง
ขณะเดียวกันขอฝาก 2 ประเด็น คือ สังคมสูงวัย ต้องสร้างระบบให้ผู้สูงอายุได้ทำงานเหมาะสม ได้ทำงานต่อ 10-20 ปี ต้องพัฒนาระบบ มีค่าตอบแทนที่เหมาะสม ไม่ใช่ปล่อยให้คนอายุ 60 ปีที่ยังมีศักยภาพ นั่งกินนอนกินไม่มีงานทำ ขณะที่ผู้สูงอายุอาชีพอื่นๆ ก็ต้องมีการเข้าไปพัฒนาเฉพาะกลุ่ม พร้อมกันนี้ขอสนับสนุนในเรื่องไม้ยืนต้นซึ่งมีมีมูลค่ามาก ให้มูลค่าเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาว ขอฝากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดยุทธศาสตร์ต้นไม้แห่งชาติ สร้างการมีส่วนร่วมปลูกต้นไม้
...
พร้อมฝากเตือนถึงนายกรัฐมนตรีใหม่ ว่า อำนาจหน้าที่ที่รัฐสภามอบให้ ไม่ใช่อำนาจเบ็ดเสร็จ เป็นเพียงอำนาจที่ให้ทำแทนประชาชนเท่านั้น จึงต้องเห็นหัวประชาชน ฟังเสียงประชาชนอยู่เสมอ อีกทั้งต้องไม่โกงและไม่ยอมให้คนอื่นโกง ต้องมีคุณธรรม ไม่ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์เครือญาติพวกพ้อง ต้องไม่ใช้โอกาสและอำนาจหน้าที่ไปตอบแทนบุญคุณส่วนตัวแก่ใคร นโยบายต้องมุ่งลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มความเป็นธรรม อละสานพลังการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาประเทศ ไม่สร้างความแตกแยก
จี้ให้ความสำคัญ ลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชาชน
ต่อมาเวลา 19.27 น. นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สว. อภิปรายเป็นคนต่อไป ในประเด็นที่ระบุในนโยบายรัฐบาล เรื่องการไม่ละเลยลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชาชน พร้อมยกตัวอย่างเรื่องระบบกู้ชีพฉุกเฉิน สถานการณ์ของประเทศไทยย้อนหลังไป 10 ปี (2555-2565) มีประชาชนขอความช่วยเหลือผ่าน 2 หน่วยงานหลัก โดยหมายเลข 1669 พบว่าขีดความสามารถการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติภายใน 8 นาที กลับมีแนวโน้มลดลงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เป็นผลให้ประชาชนต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ส่วนเรื่องความปลอดภัยทางท้องถนนของประเทศไทย พบว่ายังคงมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยในปี 2563 เสียชีวิต 18,731 คน และค่าเฉลี่ยผู้เสียชีวิตของไทยเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย การเป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยจึงไม่ประสบความสำเร็จ และมีการกำหนดรอบ 2 สำหรับยุทธศาสตร์ไทยตั้งเป้าปี 2570 ต้องลดลงเหลือ 12 ต่อแสนประชากร แต่ 6 เดือนแรกของปี 2566 มีผู้เสียชีวิตสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2565 ไปแล้ว พร้อมย้ำว่าต้องทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตต่ำลง
ทั้งนี้ เมื่อกำหนดเป็นนโยบายแล้ว แม้เป็นประโยคสั้นๆ อยากให้รับทราบว่า การเสียชีวิตบนท้องถนน ณ ขณะนี้ยังสูงอยู่ ตั้งแต่ปี 2554-2566 (3 เดือนแรก) มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 2.4 แสนคน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศที่ขาดการเอาใจใส่ดูแล อีกทั้งไม่ได้เกิดแต่กับคนไทย เพราะในปี 2565 มีนักท่องเที่ยว 7,026 คนเสียชีวิตในไทย จึงขอฝากกระทรวงที่เกี่ยวข้องช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องนี้
ห่วงประชาชนเสพติดเป็นนิสัย รอเงินจากรัฐอย่างเดียว
จากนั้น นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สว. อภิรายต่อในเวลา 19.39 น. ถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า แม้รัฐบาลช่วยว่าการกระทรวงการคลังจะชี้แจงไปแล้ว แต่กลับตอบไม่ชัดว่าแหล่งที่มางบประมาณ 560,000 ล้านบาท มาจากไหน จะเป็นความสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะ ครม.ต้องแถลงนโยบายรัฐสภา และต้องชี้แจงที่มาของแหล่งรายได้ที่แท้จริงให้ได้ ต้องรักษาวินัยการเงินการคลัง เพื่อให้มีเสถียรภาพตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ และอาจสุ่มเสี่ยงเป็นนโยบายที่การสร้างความนิยม อาจขัดต่อยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องคำนึงผลประโยชน์ชาติ แต่กลับเป็นการคำนึงถึงคะแนนเสียงและพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ และวินัยการเงินการคลังหรือไม่ จะเกิดเงินเฟ้อหรือไม่ เป็นภาระหนี้สาธารณะหรือไม่
“ขณะนี้ประชาชนทั่วประเทศก็ยังรอเงินก้อนนี้อยู่ เขาอยากได้เงิน 10,000 บาท แต่ผมเกรงว่าประชาชนจะเสพติดเป็นนิสัยรอเงินจากรัฐอย่างเดียว ไม่ทำมาหากิน ประเทศอาจล่มสลายได้ เหมือนกับประเทศอาร์เจนตินา ผมจึงกราบเรียนท่านประธานผ่านไปยังท่านเศรษฐา ทวีสิน ตอนนี้หายไปไหนก็ไม่รู้ หายไปไหนช่วยมาฟังหน่อย เพราะในฐานะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการวินัยการเงินการคลังแห่งชาติ ประธานยุทธศาสตร์ชาติ ผมเป็นคนเลือกท่านเป็นนายกฯ ก็อยากจะฝากเตือนว่า พิจารณานโยบายเงินดิจิทัลด้วยความรอบคอบ เพราะอาจมีผู้หวังดีรักชาติรักแผ่นดิน ไปร้องเรียนกล่าวหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ว่า ท่านและคณะจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย”
พร้อมกันนี้ นายเฉลิมชัย ยังแนะให้ลองไปเปิดดูมาตรา 234 และมาตรา 235 ของรัฐธรรมนูญ ตอนที่เสนอนโยบายนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บอกว่าไม่ผิด แต่ตอนนี้เป็นรัฐบาลแล้ว เอานโยบายนี้มาดำเนินการ ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะอาจจะใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ อีกทั้งฝากไปยังพรรคก้าวไกลช่วยติดตามด้วย ก่อนจบการอภิปรายในเวลา 19.45 น.