‘Deepfakes’ หลอกพนักงานบัญชีโอนเงิน '25 ล้านดอลล์' ให้นักต้มตุ๋น

การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่า 30% ของบริษัทต่างๆ จะสูญเสียความเชื่อมั่นในโซลูชันการตรวจสอบสิทธิ์ไบโอเมตริกซ์ใบหน้าภายในปี 2026 เนื่องจากการโจมตีแบบ Deepfake

อย่างกรณีล่าสุดเกิดขึ้นกับบริษัทต่างประเทศที่มีสาขาในฮ่องกงโดยเจ้าหน้าที่ทางการเงินของบริษัทแห่งหนึ่งได้รับอีเมลโดยอ้างว่ามาจากประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทที่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร

หลังจากเข้าร่วมการประชุม Deepfake video conference และเห็นว่า CFO และเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ เข้าร่วมประชุมด้วย พนักงานรายนี้ถูกขอให้แนะนำตัวเอง

ระหว่างการประชุมพนักงานรายนี้ไม่ได้มีการโต้ตอบกับใครใดๆ อีกเลย หลังจากนั้นเพื่อนร่วมงาน Deepfake และ CFO ขอให้พนักงานทำธุรกรรมโดยการโอนเงิน 200 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงหรือเทียบเท่าประมาณ 25.6 ล้านดอลลาร์ ไปยังบัญชีธนาคารที่แตกต่างกันถึง 5 บัญชีในธุรกรรม 15 รายการ

การหลอกลวงดังกล่าวนี้ถูกเปิดเผยหนึ่งสัปดาห์หลังจากการติดต่อครั้งแรก เมื่อพนักงานติดต่อไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทโดยตรง โดยคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนและยังไม่มีการจับกุมแต่อย่างใด

นอกจากนี้ พนักงานอีก2-3 รายของบริษัทเดียวกันก็ได้รับการติดต่อจากกลุ่มคนหลอกลวงเช่นกัน และหากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า ฟุตเทจ (footage) ของ CFO และพนักงานคนอื่นๆ ที่สามารถหาได้ในช่องทางออนไลน์ถูกนำมาใช้เพื่อ สร้างภาพ Deepfake และเหยื่อเป็นเพียงคนเดียวในการประชุมทางโทรศัพท์ที่ไม่ใช่ Deepfake โดยพนักงานรายดังกล่าวแจ้งว่าทั้งภาพและเสียงของคนในที่ประชุมนั้นดูเหมือนจริงมาก

หลายคนยังคงคิดว่าทุกวันนี้เสียงหรือวิดีโอสดไม่สามารถปลอมแปลงได้จึงเลือกที่จะดำเนินการตามคำขอที่ได้รับจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างานโดยไม่สงสัยใดๆ 

และนี่ทำให้ Deepfakes พิสูจน์ความสำเร็จในการขโมยเงินจำนวนมากจากองค์กรต่างๆ และไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์นี้ เพราะมีกรณีการหลอกลวงในปี 2020 ที่ผู้จัดการสาขาของบริษัทญี่ปุ่นในฮ่องกงโอนเงิน 35 ล้านดอลลาร์ให้กับแก๊งมิจฉาชีพโดยการใช้เอไอโคลนเสียงของผู้อำนวยการของบริษัทแม่ทางโทรศัพท์

ขณะที่ในปี 2021 แก๊งมิจฉาชีพในประเทศจีนกวาดรายได้กว่า 75 ล้านดอลลาร์ผ่านใบกำกับภาษีปลอม โดยการหลอกระบบจดจำใบหน้าที่ดำเนินการโดยรัฐบาลด้วย Deepfake

นอกจากนี้ เมื่อปีที่แล้ว ตำรวจฮ่องกงสามารถจับนักต้มตุ่นได้ทั้งหมด 6 รายที่ใช้ AI Deepfakes และบัตรประจำตัวประชาชนที่ถูกขโมยเพื่อทำการขอสินเชื่อและลงทะเบียนบัญชีธนาคารที่ฉ้อโกงหลายสิบครั้ง

โดยมีการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากยังไม่พร้อมที่จะตรวจจับ Deepfake พบว่า 43% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างวิดีโอจริงกับ Deepfake ได้ และมีเพียง 29% เท่านั้นที่รู้ว่า deepfake คืออะไร นอกจากนี้ 62% ที่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างใบหน้าที่สร้างโดยเอไอและใบหน้าจริงได้

ผู้เชี่ยวชาญจึงให้ความเห็นว่า ทีมรักษาความปลอดภัยควรมองว่านี่เป็นภัยคุกคามต่อองค์กรที่มีความซับซ้อน ควรคำนึงถึงกลยุทธ์ฟิชชิงขั้นสูงอย่าง Deepfake และใช้วิธีต่างๆ ในการป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์จากฟิชชิงประเภทนี้ เช่น Teams, Slack และ Zoom

อย่างไรก็ตาม องค์กรจำเป็นต้องผสมผสานกับโปรโตคอลและการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยทางกายภาพรวมถึงการจัดการสิทธิในการโอนเงิน กล่าวคือควรมีการอนุมัติหลายระดับก่อนที่จะโอนเงิน แม้ว่า CFO จะขอให้โอนเงินก็ตาม

อีกทั้งการปฏิบัติตามหลักการขั้นต่ำเพื่อให้พนักงานสามารถเข้าถึงบัญชีและระบบที่จำเป็นในการปฏิบัติงานตามบทบาทของตนเท่านั้น รวมถึงต้องมีการยืนยันการชำระเงินและการเข้าถึงข้อมูลสำคัญด้วยการยืนยันเพิ่มเติม เนื่องจากอาชญากรรมประเภทนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปและเทคโนโลยียังล้าหลังอยู่ครับ

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ฮิซบอลเลาะห์ระส่ำวันที่ 2 ว.ระเบิด ดับ 20 ราย l World in Brief

เลบานอนระเบิดอีก รอบนี้เป็น ว.ฮิซบอลเลาะห์ วิทยุมือถือที่กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ใช้ ระเบิดทั่วภาคใ...

AI Governance ก้าวแรกที่อย่ามองข้ามสำหรับทุกองค์กร

ในขณะที่แต่ละองค์กรกำลังตื่นตัวกับการวางแผนหรือเริ่มประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับกระบวนการแล...

ภาคอีสานครึ่งแรกซัพพลาย5หมื่นล้านโคราชขายบ้านสูงสุดขอนแก่นคอนโดขายดี

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(RE...

ด่วน! เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% ครั้งแรกในรอบ 4 ปี ตลาดหุ้นสหรัฐเด้งรับก่อนปิดลบ!

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.5% เมื่อวันพุธที่ 18 ก.ย. 2567 ถือเป็นการเริ่...