รัฐบาล ปปง. ดีเอสไอ แถลงคืบหน้าคดีลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน-หุ้น Stark

โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ สั่งเร่งสะสางปัญหาที่เรื้อรังให้จบ ด้านดีเอสไอ-ปปง. แถลงความคืบหน้าคดีลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน มูลค่าความเสียหาย 3,000 กว่าล้านบาท ส่วนหุ้นกู้ Stark เตรียมยึดอายัดทรัพย์

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน นายเทพสุ บวรเทพดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมแถลงความคืบหน้ากรณีการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน และคดีทุจริตหุ้น STARK ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สั่งการเด็ดขาดว่าปัญหาที่เรื้อรังมาก่อนหน้านี้ รัฐบาลต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยมีบัญชาให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการเอาผิดตามกฎหมาย ได้เร่งรัดการทำงานอย่างเต็มที่ใน 2 เรื่องดังนี้

1. การลักลอบการนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน ชิ้นส่วนหมู ที่มีการลักลอบนำเข้ามาหลายปี สร้างผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูที่ต้องขาดทุนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังเป็นการแพร่โรคระบาดในประเทศ และมีปัญหาสุขอนามัยกระทบต่อผู้บริโภค 

2. หุ้นกู้ Stark ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดทุนในประเทศ ซึ่งในวันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรายงานความคืบหน้าการดำเนินงาน

...

เลขาธิการ ปปง. แถลงความคืบหน้าในการดำเนินการ ว่า ปปง. ได้นำแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมาย โดยเฉพาะคดีสำคัญๆ ต้องเร่งรัดดำเนินการให้มีผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยในคดีเกี่ยวกับการลักลอบเนื้อหมูจากต่างประเทศเข้ามา ปปง. ทำงานร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) อย่างใกล้ชิด โดยเมื่อมีการกระทำความผิดทางอาญาแล้ว ปปง. มีหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ซึ่งกรณีการลักลอบนำหมูเถื่อน เนื้อเถื่อนต่างๆ ถือเป็นความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากร และผู้เกี่ยวข้องจะมีเรื่องข้อหาฟอกเงินด้วย 

ทั้งนี้ ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่ามีทั้งกลุ่มนายทุนและผู้อยู่เบื้องหลังในการทำธุรกรรมกับต่างประเทศในการนำเนื้อหมูเข้ามาในประเทศไทย รวมทั้ง ปปง. ตรวจสอบช่องทางการนำเข้าที่เป็นเรื่องของคดีอาญาด้วย และจะตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่มีส่วนในการกระทำความผิดตามหลักฐาน โดยจากการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินคดีหมูเถื่อน มีมูลค่าความเสียหายอย่างน้อย 3,000 กว่าล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเป็นเครือข่ายอยู่ 3 คดีใหญ่ๆ โดยกำลังตรวจสอบไปถึงตัวนอมินี ผู้เกี่ยวข้องสำคัญต่างๆ และพบว่ามีกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 50 บริษัท โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีการยึดอายัดทรัพย์ในส่วนที่ตรวจสอบพบจะดำเนินการทันที และจะขยายผลเป็นรูปธรรมในเดือนธันวาคม 2566-มกราคม 2567 ต่อไป 

ส่วนเรื่องคดีหุ้น STARK มีความคืบหน้าอย่างมาก ปปง. เชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้ามาอยู่ในพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฟอกเงิน และเชิญสำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้าร่วมด้วย เพราะต้องตรวจสอบพฤติการณ์ในการสร้างราคาต่างๆ ตรวจสอบความบกพร่องว่าเกิดจากตรงไหน และในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการยึดอายัดทรัพย์ในชั้นต้นก่อน ซึ่งจะต้องประสานงานต่อไป เพราะทราบว่ามีการโอนเงินไปยังต่างประเทศ ดังนั้น จำเป็นต้องดำเนินการเป็นส่วนๆ ไป หากพบก็จะยึดเลย และถ้าตรวจสอบพบอีกก็จะยึดอีก 

ทางด้าน อธิบดีดีเอสไอ กล่าวเสริมว่า กรณีหมูเถื่อนเป็นที่รับทราบข้อมูลกันแล้วว่าตู้คอนเทนเนอร์ที่มีหมูเถื่อนจำนวน 161 ตู้ เป็นของกลางที่กรมศุลกากรส่งให้กับดีเอสไอดำเนินคดี แต่เรื่องนี้มีผลกระทบสูงต่อพี่น้องเกษตรกร ดีเอสไอได้ขยายผลกับกลุ่มผู้ต้องหาที่นำเข้าตู้คอนเทนเนอร์ 161 ตู้ เมื่อดีเอสไอพบว่าภาพรวมตั้งแต่ปี 2563-2566 มีตู้คอนเทนเนอร์ที่ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามาในไทย ในกลุ่มผู้ต้องหาที่ดีเอสไอดำเนินการจำนวน 2,385 ตู้ สร้างมูลค่าความเสียหายในภาพรวมกว่า 3,000 ล้านบาท เบื้องต้นได้จำแนกกลุ่มผู้ต้องหาเป็น 3 กลุ่ม 

  • กลุ่มที่ 1 บริษัทชิปปิ้งที่ลักลอบหมูเถื่อนเข้าประเทศไทย
  • กลุ่มที่ 2 กลุ่มนายทุน/กลุ่มว่าจ้าง ให้มีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามาในประเทศไทย
  • กลุ่มที่ 3 กลุ่มห้องเย็นต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มยี่ปั๊ว ซาปั๊ว 

ส่วนความคืบหน้าการดำเนินคดีในกลุ่มแรก ดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหากับ 5 บริษัท คิดเป็นรายบุคคล 6 คน ดำเนินการแล้วเสร็จทั้ง 5 บริษัทเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้ขยายผลไปยังกลุ่มที่ 2 ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดีเอสไอตรวจค้นต่อกลุ่มนายทุนบริษัทที่สั่งให้บริษัทชิปปิ้งลักลอบหมูเถื่อนเข้ามาในประเทศ พบพยานหลักฐานและผู้ต้องหา 2 ราย ที่ทางดีเอสไอออกหมายจับ ขณะนี้อยู่ระหว่างการหลบหนี ซึ่งความคืบหน้าทางคดีในเรื่องของการดำเนินการฐานความผิดเรื่อง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.โรคระบาด และคดีความผิดฐานฟอกเงินร่วมด้วย 

สำหรับในประเด็นเรื่องฟอกเงิน ดีเอสไอร่วมกับสำนักงาน ปปง. อย่างใกล้ชิด และจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2566 รวมถึงแจ้งไปยังกลุ่มห้องเย็นทั่วประเทศ ณ ขณะนี้ถ้าหากมีหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้า และหากมีเจตนาที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ไปทำการตรวจค้น สามารถแสดงความบริสุทธิ์ใจกับทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โทร. 1202 ติดต่อประสานงานได้ตลอดเวลา 

ขณะที่กรณีคดีทุจริตหุ้น STARK หรือ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่สร้างผลกระทบอย่างสูงต่อธุรกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนนั้น ดีเอสไอได้รับเรื่องและดำเนินการตามกระบวนการแล้ว ขณะนี้แจ้งข้อกล่าวหากับบุคคล 5 ราย และบริษัทที่เกี่ยวข้อง 5 บริษัท โดยพนักงานสอบสวนได้ทำการเร่งรัดที่จะดำเนินการ ซึ่งสมมติฐานสุดท้ายที่ดีเอสไอตั้งไว้คือในกลุ่มของบริษัทที่ต้องการตรวจสอบ หากพบพฤติการณ์ที่เข้าข่ายมีส่วนรู้เห็นร่วมด้วย ก็จะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหา โดยเรื่องนี้ในประเด็นที่ตั้งข้อสงสัยสุดท้ายในเรื่องของบริษัทตรวจสอบบัญชี คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับการดำเนินการติดตามผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี และทรัพย์ที่ส่วนใหญ่ถูกโอนถ่ายไปยังกลุ่มเครือญาติและต่างประเทศนั้น ดีเอสไอได้มีการติดตาม ซึ่งคาดว่าน่าจะมีข่าวดี

ในตอนท้าย โฆษกรัฐบาล ระบุด้วยว่า ตัวเลขความเสียหายเรื่องหมูเถื่อนประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท เป็นความเสียหายที่รัฐเสียผลประโยชน์จากการที่ควรจะจัดเก็บภาษีได้ แต่ความเสียหายที่กระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศนับเป็นหมื่นล้านบาทต่อปี คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะมีความคืบหน้าในเรื่องนี้และจะต้องจบในเร็วๆ นี้ พร้อมย้ำว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นมาก่อนรัฐบาลนี้ นายกรัฐมนตรีไม่นิ่งดูดาย ถือว่าเข้ามาทำหน้าที่แล้วต้องสะสางให้จบในเร็ววัน โดยนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุด คือ คณะกรรมการร่วมเพื่อป้องกันและปราบปราม ตรวจสอบ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินคดีเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าประเภทสุกร เนื้อสุกร หรือชิ้นส่วนสุกร ที่ผิดกฎหมาย โดยมี นายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ เพื่อทำงานคู่ขนานไปกับทีมกฎหมายด้วย”

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘ไต้ฝุ่นยางิ’ ทำ ‘เศรษฐกิจเวียดนาม’ เสียหายกว่า 5 หมื่นล้านบาท

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พายุไต้ฝุ่นยางิ ถล่มเมียนมา เวียดนาม ลาว และไทยด้วยกำลังลมที่แรงมาก และทำใ...

ท่วมหนักสุด 'ในรอบ 3 ทศวรรษ' พายุบอริสถล่มยุโรป ผลกระทบจากโลกร้อน

จากหย่อมความกดอากาศต่ำที่ชื่อว่า “พายุบอริส” ส่งผลให้มีฝนตกหนักจากออสเตรียไปจนถึงโรมาเนีย จนเกิด “น้...

ฮามาสโวความสามารถสูง ทำสงครามกาซาต่อได้แม้สูญเสีย

นายโอซามา ฮัมดัน ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่นครอิสตันบูลของตุรกี ระบุ “ขบวนก...

สงครามสู้ฮามาสและยอดส่งออกร่วง กดดันจีดีพี ‘อิสราเอล’ Q2 ให้โตเพียง 0.7%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของอิสราเอลในไตรมาสที่สองชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไ...