"ก้าวไกล" ขอเป็นฝ่ายค้าน ตรวจสอบรัฐบาลสร้างสรรค์ "ชัยธวัช" ย้ำ เปลี่ยนหัวหน้าพรรค แต่นายกฯ ยังชื่อเป็น “พิธา” ปลุกพลัง ลั่น ก้าวไกล พร้อมจะแข่งทุกสนามเลือกตั้ง 4 ปี เจอกัน 4 สนาม อบต.-เทศบาล-กทม. และเลือกตั้งใหญ่
วันที่ 24 ก.ย. 66 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง พรรคก้าวไกล จัดงาน "ก้าวต่อไปไกลทั้งแผ่นดิน" ใช้อาคารกีฬาเวสน์ 1 เปิดทอล์กการเมือง ตื่นเถิดประเทศไทย บรรยากาศคึกคัก มีแฟนคลับก้าวไกลเข้างานอย่างคับคั่ง เช่นเดียวกับ สส.พรรคก้าวไกล ที่มาร่วมงานให้แฟนคลับถ่ายภาพก่อนงานทอล์กจะเริ่ม
นางสาวพรรณิการ์ วานิช ขึ้นเวทีบอกกับผู้มีอำนาจในบ้านเมืองว่า ถ้าเบื่อหน้าแล้วก็จงเบื่อต่อไปกัน ตนเองจะไม่ไปไหน จะอยู่ตรงนี้ อยู่ให้เห็นหน้าแบบนี้ต่อไปในสถานการณ์การเมืองไม่เหมือนเดิม
จากนั้น นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ขึ้นพูดบนเวทีครั้งแรกในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล ว่า หลายคนอาจผิดหวังที่ก้าวไกลไม่สามารถเข้าไปขับเคลื่อนในฐานะรัฐบาลได้ แต่ท่ามกลางคำสบประมาทเมื่อมาเป็นฝ่ายค้านแล้วขอยืนยันว่า 4 ปีนี้จะเป็น 4 ปีที่มาร่วมกันพิสูจน์ว่าเป็นฝ่ายค้านก็เปลี่ยนแปลงประเทศได้ โดยใช้ 5 มายาคติ ที่ก้าวไกลจะทลาย ใช้ 50 กฎหมายเปลี่ยนประเทศ ซึ่งตอนนี้เข้าสู่สภาไปแล้ว 7 ร่าง เหลือ 23 ร่าง เตรียมจะยื่นในเร็วๆ นี้
...
มายาคติคณะที่ 2 คณะกรรมาธิการในสภามีไว้เพื่อพลาญงบฯ พรรคก้าวไกล เชื่อว่า คณะกรรมาธิการในสภาสามารถที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกกรรมาธิการอย่างเป็นระบบได้ โดยเฉพาะกรรมาธิการพรรคก้าวไกลจะมีโอกาสไปเป็นประธาน อย่าง กมธ.งบประมาณฯ ที่เราสามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณได้
มายาคติที่ 3 สภาฯ คือ โรงละครที่เสียเวลา พรรคก้าวไกล จะทลายความคิดดังกล่าวทำให้ประชาชนเห็นว่าสภาคือบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน และเปลี่ยนแปลงการทำงานแก้ปัญหาให้กับประชาชน
มายาคติที่ 4 ที่จะทลายคือ “ฝ่ายค้านจะต้องค้านทุกเรื่อง” ก้าวไกลจะเปลี่ยนความคิดนี้พัฒนาฝ่ายค้านให้เป็นฝ่ายค้านสร้างสรรค์ที่มีข้อเสนอสำหรับทุกปัญหา และมายาคติสุดท้ายคือ สส.เขต ก็ทำงานพื้นที่สส.บัญชีฯ ทำงานเชิงประเด็น พรรคก้าวไกลมี สส.พร้อมจะอภิปรายและทำงานแบบเชิงรุก ไม่มีการแบ่งงาน หรือแบ่งหน้าที่ทุกคนต้องทำงานเพื่อเพิ่มบทบาทให้เป็นแชมเปียนส์เชิงประเด็น
นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นกล่าวต่อว่า นี่คือการประชุมสมาชิกพรรคของก้าวไกลครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยทำมาต้องยกความดีความชอบให้กับผู้อำนวยการพรรคที่มีส่วนสำคัญในการจัดงานครั้งนี้ เพราะนี่คือทิศทางสำคัญของก้าวไกลเป็นพรรคที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันนี้ที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แทน นายพิธา ในฐานะหัวหน้าพรรคคนใหม่
“อยากประกาศว่า แม้ว่าหัวหน้าพรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนไป แต่ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คนเดิม”
การจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาเราเห็นการไม่เคารพเสียงเคารพอำนาจของประชาชน แต่เห็นการตั้งรัฐบาลที่สยบยอมต่ออำนาจที่ต้องการอยู่เหนืออำนาจของประชาชน และปัญหารัฐของราชการรวมศูนย์ไปติดทับศักยภาพราชกาลไทยทั่วประเทศเต็มไปด้วยการทุจริต และไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน นโยบายรัฐบาลชุดใหม่พยายามจะดึงอำนาจท้องถิ่นกลับไปอยู่ส่วนกลาง ด้วยการทำให้ผู้ว่าฯ เป็นซีอีโอ “เราไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ยกเว้นเจ้าของบ้านเขาอนุญาตเท่านั้น”
นายชัยธวัช ยังกล่าวอีกว่า ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ เป้าหมายการเมืองในแบบของก้าวไกลเราต้องผลักดัน และเปลี่ยนแปลงสิ่งที่การเมืองของชนชั้นนำบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้กลายเป็นสิ่งที่สังคมไทยปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป ภายใต้เป้าหมายนี้พรรคก้าวไกลจะมียุทธศาสตร์สำคัญสี่ด้าน มีภารกิจเฉพาะด้านสำคัญสองอย่างคือสร้างพรรคก้าวไกลให้เข้มแข็ง เป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนให้ได้งานในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของเป้าหมายยุทธศาสตร์นี้ นับจากนี้ต่อไปขอเชิญชวนทุกคนช่วยกันขยับขยายสมาชิกพรรค และขยายการเมืองมีส่วนร่วมของประชาชน ในการสร้างพรรคก้าวไกลให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชน ช่วยกันเปลี่ยนแปลงวันละเล็กวันละน้อย ปักธงความคิด ทำพรรคก้าวไกลให้เป็นพรรคที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเมื่อช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึง
ส่วนยุทธศาสตร์ฝ่ายค้านในสภาก้าวไกลยังต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ในฐานะหัวหน้าพรรคคนใหม่ขอให้คำมั่นสัญญากับทุกคนว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร เหมือนที่เคยพิสูจน์กับประชาชนมาแล้ว ดุดันด้วยเนื้อหาท่วงทำนองสุขุม ทันทีทันคาด ยุทธศาสตร์ที่สามคือฝ่ายค้านเชิงรุกจะขออนุญาตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานยุทธศาสตร์มาอธิบายกับสมาชิกพรรค
ยุทธศาสตร์ที่สี่คือ ตรึงพื้นที่เก่ายึดพื้นที่ใหม่ สส.ต้องเร่งทำงานพิสูจน์ตัวเองว่าทำงานไม่เหมือนใคร ส่วนพื้นที่ไหนที่ไม่ชนะเลือกตั้งขอให้สมาชิกพรรคทำพื้นที่ให้เข้มแข็ง และหาคนที่ดีที่สุดเพื่อมาเป็นผู้แทนราษฎรของเรา
และภารกิจสุดท้าย คือ ร่วมกันผลักดันรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนจากนี้ต่อไปขอให้ทุกคนช่วยกันรณรงค์เรียกร้องให้มีการทำประชามติถามประชาชนว่า ต้องการทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่ และต้องทำ ส.ส.ร.ที่มาจากประชาชนทั้งหมดไม่ต้องกั๊ก ไม่ต้องมีข้อยกเว้น เพราะประชาชนมีอำนาจสูงสุดในการสถาปนารัฐธรรมนูญ
นายชัยธวัช ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า หลายคนอาจจะสิ้นหวังและเสียน้ำตาเพราะพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ แต่อยากจะบอกว่า นับจากนี้ต่อไปขอให้เอาน้ำตาไว้ข้างหลัง ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจอีกต่อไป ให้ลองนึกถึงสังคมไทยก่อนที่จะมีอนาคตใหม่และก้าวไกล วันนี้เราช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงมาได้มาก จึงไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจ แต่มีอย่างเดียวคือต้องเดินหน้าจับมือร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้มากกว่านี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายไปพร้อมกันสมาชิกก้าวต่อไปก้าวไกลทั้งแผ่นดิน
จากนั้น หัวหน้าพรรคก้าวไกล ส่งเวทีต่อให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวบนเวทีว่า แม้เราจะลาจากกัน แต่เราจะไม่จากกันตลอด 385 วัน จะไม่มีวันลืม และภูมิใจในสิ่งที่ร่วมทำด้วยกันมาทุกวัน เพราะมันคือการจุดไฟกลางสายลม แม้อาจจะทำได้ยาก แต่ทำร่วมกันสำเร็จแล้วอย่าปล่อยให้มันเสียเปล่า
พร้อมย้ำว่า พรรคก้าวไกล ไม่ใช่ฝ่ายค้านที่จ้องจะล้มรัฐบาลอย่างเดียวแต่จะอยู่ข้างประชาชน และจะเป็นฝ่ายค้านที่จะสะสมชัยชนะไปจนเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุดของประชาชน และจะแข่งขยับและขยาย
ก้าวไกล พร้อมจะแข่งทุกสนามเลือกตั้ง สี่ปีเจอกันสี่สนาม ทั้ง อบต. เทศบาล กทม. และเลือกตั้งใหญ่ และจะขยับกันเป็นองคาพยพไม่สะเทือนก็ให้มันรู้ไป สุดท้ายต้องขยายพรรคก้าวไกลจะขยายฐานสมาชิกที่ตอนนี้มีอยู่ 80,000 คน และเป็นพรรคที่มีสมาชิกเยอะเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แล้วในที่สุดความฝันที่ทุกคนจะร่วมกันก็จะเป็นจริง ขอเพียงอย่าลืมสิ่งที่ได้ทำร่วมกันมาพรรคก้าวไกลชนะภายใต้กติกาที่เขาเขียนไว้ ขอให้เปลี่ยนความหวัง เป็นพลังงานผลักไปสู่เส้นชัยจะก้าวด้วยกันก็ต้องก้าวไกล และต้องก้าวไกลทั้งแผ่นดิน.