“ตรีชฎา” แจง “เศรษฐา” ประกาศดิจิทัลวอลเล็ต ก่อนเลือกตั้งเกือบ 2 เดือน จี้ บางพรรคหยุดทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าออกนโยบายมาเพื่อการซื้อเสียง แนะ หันมาตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจะดีกว่า
วันที่ 21 กันยายน 2566 นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก จากกรณีได้เห็นคลิปหนึ่งของ สส.พรรคหนึ่ง ให้ความเห็นเกี่ยวกับดิจิทัลวอลเล็ต (Digital wallet) กล่าวหาว่านโยบายนี้ออกมาช่วงท้ายๆ ใกล้ๆ เลือกตั้ง เพราะรู้ว่าสู้พรรคเขาไม่ได้ สู้นโยบายรัฐสวัสดิการของเขาไม่ได้ และรู้ว่าจะแพ้เลือกตั้งจึงออกนโยบาย Digital wallet นี้ เพื่อหวังจะซื้อเสียง โดยขอชี้แจงข้อเท็จจริง 5 ข้อ ดังนี้
1. พรรคเพื่อไทย โดย นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยในขณะนั้น เปิดตัวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหญ่ ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ Digital wallet เป็นครั้งแรก ที่อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 ประกาศก่อนวันเลือกตั้งเกือบ 2 เดือน จากนั้นก็ส่งนโยบายให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามกฎหมาย
2. เป้าหมายของนโยบาย Digital wallet คือ เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย กระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น กระจายรายได้ทั้งประเทศ
3. พรรคเพื่อไทยมีการวางแผนงานและกระบวนการหาเสียงอย่างเป็นระบบแบบแผน ไม่ได้หวังจะเอานโยบายนั้นมาเอาชนะพรรคการเมืองใด ในช่วงเวลาใด สิ่งที่เราต้องการคือเอาชนะใจประชาชน
4. ก่อนหน้านั้นพรรคเพื่อไทยทยอยเปิดตัวนโยบายต่างๆ มาตลอด อาทิ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน 600 บาท ภายใน 4 ปี, ปรับขึ้นเงินเดือน ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ 25,000 บาทต่อเดือน, พักหนี้เกษตรกร ทั้งต้นและดอก เมื่อนำมาประกอบเข้ากันกับ Digital wallet จะยิ่งเติมเต็มในภาพรวมของการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ
...
5. นโยบาย Digital wallet เคยมีคนยื่นร้องให้ กกต. ตรวจสอบ โดยกล่าวหาว่าเป็นการเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ และหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร ซึ่ง กกต. ยกคำร้องทุกคำร้องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้ว่าไม่เข้าข่ายหลอกลวง และวินิจฉัยเป็นเด็ดขาดว่า กรณีดังกล่าวเป็นนโยบายพรรคการเมืองเพื่อใช้หาเสียงเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว
ขณะเดียวกัน นางสาวตรีชฎา ยังระบุในช่วงท้ายด้วยว่า “อยากให้ผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่านโยบาย Digital wallet เป็นไปเพื่อการซื้อเสียงนั้น ขอให้หยุด หันมาตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจะดีกว่า”.