คุยธุรกิจยักษ์ "เศรษฐา" โชว์วิชัน ชูเศรษฐกิจสีเขียวเวทีผู้นำ (คลิป)

“เศรษฐา” จัดคิวแน่นเอี้ยด พบผู้นำชาติต่างๆ-องค์กรนานาชาติ-บิ๊กธุรกิจระดับโลก จัดวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ “อีลอน มัสก์” หวังดึงเทสลาตั้งฐานผลิตในไทย ถกซีอีโอ Blackrock อัดฉีดการลงทุนในไทย ขึ้นกล่าวถ้อยแถลง เวทีผู้นำ SDG Summit 2023 หนุนการพัฒนายั่งยืน อัดฉีด 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว ชูเศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงนำ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โฆษกรัฐบาลยันมาครั้งนี้คุ้มค่าแน่ “ภูมิธรรม” ชี้ 3-4 เดือนทำประชามติ แก้รัฐธรรมนูญไม่เกิน 4 ปีจบ ผบ.เรือนจำฯอุบผลอาการ “ทักษิณ” เข้าผ่าตัด ผบ.ตร.อ้างงานยุ่งยังไม่ได้รับรายงาน ศาลฎีกาฟัน “ช่อ” กระทำมิบังควร ห้ามลงสมัคร-รับตำแหน่งทางการเมืองตลอดไป “หมออ๋อง” แจงตั้งงบบินดูงานเผื่อไว้ ยอมรับ ก.ก.ขับออกเป็นออปชัน “ชลน่าน” ลั่นตั้งเมียนั่งกุนซือสุดคุ้ม

การเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง อัดตารางคิวงานจนแน่นเอี้ยดทั้งพบปะกับบรรดาผู้นำชาติต่างๆ ผู้นำองค์กรระดับโลก รวมถึงผู้บริหารซีอีโอบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เชื้อเชิญเข้ามาลงทุนในไทย

...

“เศรษฐา” คิวแน่นเวที UNGA78

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 19 ก.ย. (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ยังคงปฏิบัติภารกิจระหว่างเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) เริ่มที่การเข้าร่วมประชุม High-Level Dialogue on Financing for Development และเข้าร่วมประชุมระดับ
ผู้นำว่าด้วยการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Ambition Summit) จากนั้นหารือทวิภาคีกับนายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมเวียดนาม และกล่าวสุนทรพจน์เปิดกิจกรรมคู่ขนานระดับสูงของประเทศไทยและอาเซียนในหัวข้อ Fostering Partnership for Our Common Future : Enhancing Multi-Stakeholder Partnerships To Accelerate the SDGs in ASEAN ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในฐานะประเทศไทยผู้ประสานงานของอาเซียนด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

พบปะเหล่าผู้นำ-บิ๊กธุรกิจโลก

ต่อมาเวลา 14.00 น. นายเศรษฐาได้พบหารือนายจิอานนี อิงฟานติโน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) หารือทวิภาคีกับนายยุน ซ็อก ญอล ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี รวมถึงพบปะหารือสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกาและอาเซียน หอการค้าสหรัฐอเมริกา และภาคเอกชนสหรัฐฯ พบกับ Mr.Larry Fink CEO กลุ่มบริษัท Blackrock ผู้นำด้านการเงินและการลงทุนของโลก เพื่อศึกษาแนวทางการลงทุนในไทย ทั้งภาคการลงทุนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการสนับสนุนธุรกิจ Clean Energy พลังงานสะอาด ที่บริษัทมีแนวโน้มจะเข้ามาลงทุนในไทยเร็วๆนี้ รวมถึงให้ความสนใจที่จะลงทุนใน Sustainability Linked Bond หรือตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน ที่จะออกโดยรัฐบาลไทยในปีหน้า โอกาสนี้ Black Rock ระบุว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) รวมถึงประเทศไทยมีศักยภาพสูง และจะลงทุนในภูมิภาคนี้ต่อเนื่อง

กล่าวถ้อยแถลงหนุนพัฒนายั่งยืน

จากนั้นเวลา 17.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ Trusteeship Council Chamber สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก นายเศรษฐากล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำปี ค.ศ.2023 (Sustainable Development Goals (SDG) Summit 2023) ว่า สหประชาชาติกำหนดให้ทศวรรษนี้เป็นทศวรรษแห่งการลงมือทำ (Decade of Action) ไทยสนับสนุนข้อเรียกร้องเลขาธิการองค์การสหประชาชาติในการปฏิรูปสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ผ่านมาตรการกระตุ้นการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Stimulus) เป็นจำนวนเงิน 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี จนถึงปี ค.ศ.2030 รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการทางการเงิน 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว และ Thailand Green Taxonomy ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ผ่านกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้รับการตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจไทย ตั้งเป้าขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และจะลงทุน 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ภายในปี ค.ศ.2030

ชูเศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงนำ

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนไทยได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และนโยบายเศรษฐกิจ BCG มาเป็นแนวทาง โดยประเทศไทยพร้อมประกาศความมุ่งมั่นระดับประเทศเพื่อขับเคลื่อน SDGs รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนี้ 1.มุ่งมั่นพัฒนาที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านหลักการไปให้ถึงและช่วยเหลือกลุ่มที่รั้งท้ายก่อน รวมทั้งลดความยากจนในคนทุกช่วงวัย ภายในปี ค.ศ.2027 2.มุ่งมั่นส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงสิทธิด้านสุขภาพ เช่น ไทยตั้งเป้าหมายที่จะให้ครัวเรือนที่ต้องกลายเป็นครัวเรือนที่ยากจนหลังจ่ายค่ารักษาพยาบาล ต้องมีจำนวนลดลงไม่เกินร้อยละ 0.25 ภายในปี ค.ศ.2027 และ 3.มุ่งมั่นผลักดันร่วมมือกับหุ้นส่วนความร่วมมือทุกระดับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการเข้าถึงบริการพลังงานสมัยใหม่ในราคาที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือ ภายในปี ค.ศ.2030

ดึง “อีลอน มัสก์” มาตั้งฐานที่ไทย

สำหรับตารางการปฏิบัติภารกิจของนายเศรษฐา ในวันที่ 20 ก.ย. (ตามเวลาท้องถิ่น) ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) จะมีการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอเทสลา บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ เพื่อชักชวนให้เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย และเลือกไทยเป็นฐานการผลิต ที่เทสลาอยู่ระหว่างการตัดสินใจเลือกฐานการผลิตในประเทศอาเซียน และวันที่ 21 ก.ย. มีคิวพบปะหารือกับผู้บริหารไมโครซอฟท์ ชักชวนให้มาตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทยที่ติดตามคณะว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้าสนับสนุน อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าต่อเนื่อง และยังคงสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งเอเชียต่อไป “การยังคงสนับสนุนรถยนต์สันดาป เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและฐานนักลงทุน เนื่องจากนักลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ลงทุนในไทยเป็นอันดับหนึ่งมายาวนาน ต้องดูแลนักลงทุนรายเดิม และให้เปลี่ยนผ่านไปด้วย”

อัดมาตรการหนุนรถยนต์อีวีต่อ

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์อีวีที่จะสิ้นสุดในสิ้นปีนี้ รัฐบาลจะให้การสนับสนุนต่อเนื่อง แต่อยู่ระหว่างพิจารณาจะเพิ่มหรือลดจากมาตรการเดิม การสนับสนุนการลงทุนเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องการให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และจะทำควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ที่จะส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศเพิ่มขึ้น การลงทุนจะเข้ามาต่อยอดได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อินสตาแกรม srettha thavisin เผยแพร่คลิปที่นายเศรษฐาสวมชุดสูท เนกไทสีแดง ถุงเท้าสีแดง ขณะเดินข้ามทางม้าลายพร้อมระบุข้อความว่า “มานิวยอร์กเจอรถติด เลยเดินมาประชุมแทน อากาศกำลังเย็นสบาย เหมือนเปิดแอร์เบาๆเลยครับ”

โฆษกรัฐบาลยันมาครั้งนี้คุ้มค่า

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงชี้แจงข้อครหาเรื่องงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาปฏิบัติภารกิจของนายกฯในครั้งนี้ว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความตั้งใจของนายกฯถูกด้อยค่าและจับผิด จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด ยืนยันนายกฯมี 3 ภารกิจหลัก คือ 1.ร่วมประชุมระดับพหุภาคีภายใต้กรอบสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 78 และจะเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรอง จัดโดยประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯและภริยา ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะได้กระชับความสัมพันธ์กับผู้นำระดับโลก 2.พบปะหารือระดับทวิภาคีกับผู้นำและ บุคคลสำคัญระดับนานาชาติ ได้แก่ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายกฯเวียดนาม นายกฯมาเลเซีย เลขาธิการสหประชาชาติ ประธาน FIFA ซึ่งตรงกับความตั้งใจของนายกฯที่จะพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้มี โอกาสมากขึ้นในเวทีโลก 3.ความตั้งใจให้เกิดการลงทุนในประเทศไทยผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ และยังได้พบกับบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ อาทิ Blackrock, SpaceX, Citibank, Tesla, Goldman Sachs, JP Morgan, Estee Lauder, Microsoft และ Google รวมทั้งจะมีการประชุมมอบนโยบายแก่ทีมประเทศไทย การพบปะชุมชนไทยในสหรัฐฯ กิจกรรมทั้งหมดถูกอัดแน่น รับรองคุ้มค่าแน่

“ภูมิธรรม” ชี้ 3-4 เดือนทำประชามติ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พยายามติดต่อคนที่จะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ คุยถึงหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อยากแก้ให้สำเร็จและเสร็จสิ้นภายใน 4 ปีที่เป็นรัฐบาล จะเร่งให้เร็วที่สุด อยากให้ปมขัดแย้งเดิมๆหายไป จะใช้วิธีให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ทำประชามติ คณะกรรมการที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เรื่องนี้ได้หารือถึงแนวทางว่าจะใช้เวลาเท่าไร คาดว่าจะใช้เวลา 3-4 เดือน หรืออาจเร็วกว่านั้นในการทำประชามติ เมื่อถามว่าการทำประชามติจะทำทั้งฉบับหรือแก้ไขเป็นรายมาตรา นายภูมิธรรมตอบว่า ตามนโยบายพูดชัดเจนจะยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ยังคงหมวด 1 และหมวด 2 ไว้ ไม่แตะเรื่องพระราชอำนาจ นอกนั้นทำได้หมด คาดว่าจะมีตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ตัวแทนวิชาชีพ สมาคมทนายความ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆด้าน รวมถึงเชิญตัวแทนสมาคมนักข่าวด้วย 1 คน บางคนตอบรับมาแล้ว

แก้รัฐธรรมนูญไม่เกิน 4 ปีจบ

เมื่อถามว่ารายชื่อคณะกรรมการฯมีประมาณกี่คน นายภูมิธรรมตอบว่า ดูตามวิชาชีพก็เกือบ 20-30 คน ไม่อยากให้เป็นคณะใหญ่เกินไปอยากให้ทำงานคล่องตัว คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์น่าจะมีรายชื่อคณะกรรมการเสนอให้นายกฯลงนามแต่งตั้ง ส่วนตัวเลขานุการคณะกรรมการขอดูคนที่เราทาบทามมาทั้งหมดก่อน คิดว่าภายในสัปดาห์หน้าน่าจะมีรายชื่อออกมา เมื่อถามว่ากรอบระยะเวลาการทำงานของคณะกรรมการที่วางไว้นานหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า ที่คาดไว้ไม่เกิน 3-4 เดือน ไม่ได้คิดจะยืดเวลา แต่ขอดูรายละเอียดและพูดคุยกันในยกแรกก่อน ถ้าตั้งคณะกรรมการเรียบร้อยจะได้วางไทม์ไลน์ ทั้งนี้ต้องมีขั้นตอนยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และต้องเข้าสภาเพื่อไปแก้ไขมาตรา 256 ยืนยันว่าหลังแก้รัฐธรรมนูญและมีกฎหมายลูกแล้ว คิดว่าภายในไม่เกิน 3 ปี 3 ปีครึ่ง หรือ 4 ปี ถ้ามันจบได้ก็จะจบ จะให้ทันการเลือกตั้งสมัยหน้าที่จะเกิดขึ้น

ไม่ชัดได้ รธน.ใหม่แล้วยุบสภาฯ

เมื่อถามย้ำว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จจะยุบสภาฯทันทีเลยหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า จะพยายามให้เข้าสู่กระบวนการปกติให้เร็วที่สุด อยากให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมให้มากที่สุด มีความคิดจะเชิญกลุ่มไอลอว์ และภาคประชาสังคมทุกภาคมาร่วมคณะกรรมการด้วย ไม่มีการประวิงเวลายืนยันได้เลย การที่เราให้ ครม.ออกมติให้ทำประชามติ ถือเป็นการสะท้อนที่ชัดเจน ถ้าเราอยากประวิงเวลาก็โยนเข้ารัฐสภา ต้องไปถกกันอีกนานและจะมีปัญหา หรือถ้าให้ประชาชนใช้เสียงเพื่อยื่นเสนอเข้ามาก็ต้องมาตรวจสอบประวัติกันอีกนาน เราแสดงเจตจำนงชัด กำหนดไว้ในนโยบายรัฐบาล สิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นในรัฐบาลเราแน่นอนให้ได้ผลเพื่อให้มีความเป็นประชาธิปไตย

ขออย่านับองค์ประชุมพร่ำเพรื่อ

นายอดิศร เพียงเกษ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงการบริหารจัดการไม่ให้เกิดเหตุการณ์สภาล่มอีกว่า หน้าที่องค์ประชุมเป็นของทุกคน แต่การนับองค์ประชุมเป็นเรื่องธรรมดาของฝ่ายค้านที่จะใช้เป็นอาวุธสู้กับรัฐบาล หากฝ่ายรัฐบาลรับผิดชอบมาประชุมไม่มีปัญหาแน่นอน ต้องขอความร่วมมือจากฝ่ายค้านทั้งพรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้ดูความเหมาะสมในการชักอาวุธนับองค์ประชุมควรทำเมื่อใด ไม่ใช่นับองค์ประชุมทุกญัตติ ทำให้การประชุมไม่ราบรื่น หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากวิปทั้งสองฝ่าย ขณะนี้ยังไม่มีร่างกฎหมายที่รัฐบาลเสนอ มีเพียงร่างกฎหมายที่ สส.เสนอเท่านั้น วิปรัฐบาลแจ้งไปยังรัฐบาลให้เร่งรัดเสนอร่างกฎหมายที่เป็นนโยบายรัฐบาลให้สภาฯพิจารณา และเชื่อว่ารัฐมนตรีจะมาชี้แจงกระทู้ถามสด โดยเฉพาะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง ยืนยันแล้วว่าจะมาชี้แจงต่อสภาฯ ถือเป็นความสง่างามของนายกฯ และรัฐมนตรีที่มาตอบกระทู้สด

เชียร์สุดตัว “อุ๊งอิ๊ง” ขึ้น หน.พท.

นายอดิศรยังกล่าวถึงบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ว่า ในพรรคมีหลายคนที่จะทำหน้าที่นี้ได้ โดยเฉพาะ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ มีความภูมิใจหาก น.ส.แพทองธารมาเป็นหัวหน้าพรรค นำพาพรรคไปสู่ความสำเร็จ เพราะเป็นคนรุ่นใหม่เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่าง แต่ถ้า น.ส.แพทองธารไม่รับตำแหน่งยังมีคนในพรรคที่เหมาะสมหลายคน อาทิ นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อแต่ถ้า น.ส.แพทองธารรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นเรื่องดีที่สุด คงไม่มีใครกล้าแข่งด้วย เป็นหัวหน้าพรรคดีกว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย “ปกติผมเชียร์คุณอุ๊งอิ๊งออกหน้าออกตาอยู่แล้ว ถ้ามานั่งหัวหน้าพรรคจะนำพรรคเพื่อไทยไปสู่ความสำเร็จทุกด้านได้แน่นอน การไปรับหน้าที่เป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ จะเป็นเครื่องพิสูจน์การทำให้รายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น เป็นการเมืองอีกระดับหนึ่งของพรรคเพื่อไทย”

“หมอทศ” ชงแก้ปมอาหาร สส.

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานที่ประชุม ก่อนเข้าวาระการประชุม นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย หารือถึงปัญหาอาหารจัดเลี้ยง สส.เหลือกินกันไม่หมดว่า ขณะนี้โลกมีขยะอาหารปีละ 1.3 พันตัน ประเทศไทยปีละ 17 ล้านตัน คนไทยสร้างขยะคนละ 254 กิโลกรัมต่อปี ขยะอาหารที่สภาฯก็นับไม่ถ้วน ในวันประชุมสภาฯที่มี สส.เหลือไม่ถึง 30 คน อาหารเหลือจำนวนมาก เสนอให้ 1.ยังคงเลี้ยงอาหารต่อไปแต่งดมื้อเย็น 2.สส.-สว.จ่ายเงินค่าอาหารกันเอง โดยให้สั่งอาหารล่วงหน้า 1-2 สัปดาห์ จะได้รู้ว่าใครรับประทานหรือไม่ 3.ยกเลิกเลี้ยงอาหาร สส.-สว.เอางบค่าอาหาร สส.ปีละนับ 100 ล้านบาท ไปเพิ่มอาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียนทั่วประเทศ จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

ภท.เบิ้ลเครื่องดัน ก.ม.กัญชา

นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรค ภท.แถลงถึง พ.ร.บ.กัญชา กัญชงว่า พรรค ภท.ยังยืนยันผลักดัน พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เหมือนเดิม ด้วยเหตุผลกัญชาถูกปลดออกจากยาเสพติดให้โทษแล้ว ใช้ทางการแพทย์และวิจัยเท่านั้น ไม่มีนโยบายเปิดเสรี นันทนาการหรือสันทนาการ แม้จะถูกโจมตีและด้อยค่านโยบายกัญชาทำให้ถูกตีตกในสมัยรัฐบาลที่แล้ว พรรค ภท.ยืนยันผลักดัน พ.ร.บ.กัญชา กัญชงต่อไป โดยจะเป็นไปตามร่างเดิม 94 มาตรา ที่เคยมีความเห็นจากทุกพรรค ทั้งยังเห็นตรงกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง ที่จะนำเสนอในรัฐบาลนี้ และจากข้อมูลวิจัยชี้ว่า เมื่อกัญชาปลดล็อกจากยาเสพติดแล้วมูลค่าตลาดกัญชาเติบโตขึ้น 2.1 หมื่นล้านบาท พรรค ภท.ไม่ได้ทิ้งขว้างกลางคัน มาจับขั้วใหม่ พูดแล้วทำ เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ของพรรค ภท.จะทำจริงจังให้สำเร็จ

“อ๋อง” แจงตั้งงบบินดูงานเผื่อไว้

นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ชี้แจงถึงรายละเอียดงบเดินทางไปดูงานสาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 21-24 ก.ย.จำนวน 1.3 ล้านบาทว่า โครงการเป็นไปตามแผนงานคณะกรรมการขับเคลื่อนรัฐสภาโปร่งใสและสมรรถนะสูง ตั้งงบไว้ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเดินทางของรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ที่ตั้งไว้สูงนั้นตั้งตามสิทธิที่ระเบียบกำหนด ยังไม่เกิดการใช้จ่ายจริง มีค่าใช้จ่ายจริงที่เปิดเผยได้ คือค่าตั๋วเครื่องบินตั้งไว้ 52,000 บาท จ่ายจริง 28,000 บาท ค่าโรงแรม 12,000 บาท จองได้ 9,000 บาท ที่เหลือจะส่งคืนคลัง ส่วนคณะเดินทางเป็นผู้ที่เหมาะสมและสนใจต่อการนำองค์ความรู้มาพัฒนาสภาฯยืนยันไปดูงานหลังจากกลับมาแล้วจะนำรายงานเสนอไปยังรัฐบาล ภาคประชาชน และสภาฯ เมื่อถามว่า มีการโยกงบจัดการประชุมระหว่างประเทศมาใช้ด้วย นายปดิพัทธ์ตอบว่า สำนักงานเลขาธิการสภาฯชี้แจงว่า มีงบของการประสานงานพิธีการทูต 1.3 ล้านบาท จึงจัดโปรแกรมให้ต่ำกว่างบที่มีให้ได้และสัมพันธ์กับจำนวนคณะเดินทาง การโยกงบต้องขอดูรายละเอียดอีกครั้ง แต่ไม่ใช่การล้างท่อ เพราะยังมีงบที่ค้างจ่ายอีกมหาศาล

ยอมรับ ก.ก.ขับออกเป็นออปชัน

นายปดิพัทธ์กล่าวถึงความชัดเจน เรื่องตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ของพรรค ก.ก.ว่า เรื่องนี้ยังมีเวลา กว่าจะมี กก.บห.พรรคชุดใหม่ พรรค ก.ก.คงตัดสินใจอย่างดีที่สุดตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ส่วนกระแสข่าวจะใช้วิธีการขับตนออกจากพรรคนั้นเป็นหนึ่งในออปชัน มันเป็นทางเลือกที่จะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้ ภายใต้เงื่อนไข กติกาที่เป็นไปได้

พร้อมปลด “เจี๊ยบ” เมินจริยธรรม

นายปดิพัทธ์กล่าวถึงกรณีผู้สนับสนุนพรรคพท.ร้องเรียนถูกนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่ปรึกษารองประธานสภาฯ คนที่ 1 เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวคุกคามบนโซเชียลว่า เบื้องต้นพบว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจริง แต่นางอมรัตน์ไม่ได้เป็น สส.กระบวนการด้านวินัยสภาฯจึงไม่มี แต่พรรค ก.ก.จะดำเนินการในเรื่องจริยธรรมแน่ๆ ทั้งนี้ หากพบ
กระทำผิดจริง ตนพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของนางอมรัตน์ออกจากที่ปรึกษารองประธานสภาฯ

“พิเชษฐ์” ฟื้นรัฐสภา 77 จังหวัด

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า กรณีที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ เคยแถลงหลังรับตำแหน่งระบุว่าจะพยายามรื้อฟื้นสำนักงานสภาฯ 5 แห่งในต่างจังหวัด และขยายให้ครอบคลุมจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงฝ่ายนิติบัญญัติมากขึ้น ล่าสุดนายพิเชษฐ์ได้เสนอแนวคิดนี้ต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ เพื่อให้สร้างรัฐสภาทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ช่วงแรกเป็นการเช่าอาคารสถานที่ใช้งบจังหวัดละ 80,000 บาทต่อเดือน จากนั้นภายใน 2 ปีจะสร้างอาคารรัฐสภาประจำจังหวัด และจัดงบว่าจ้างบุคลากรจำนวนหนึ่งให้ไปประจำ ให้เหตุผลว่าจะได้เป็นที่นั่งทำงานของผู้ช่วย สส.แต่ละจังหวัด รวมถึงเป็นสถานที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน

สส.กังขาสร้างภาระผลาญงบฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อเสนอของนายพิเชษฐ์ ถูก สส.บางส่วนคัดค้าน มองว่าเป็นการซ้ำซ้อนงานกับกระทรวงมหาดไทย ที่ตั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเป็นที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ หรือส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองแล้ว รวมถึงงบจ้างข้าราชการระดับซี 8 ขึ้นไปส่งไปประจำแต่ละจังหวัด มองว่าถ้า สส.มี สว.ก็ต้องมี อย่างน้อย 20 คนต่อจังหวัด สิ่งที่ตามมาคือบ้านพักข้าราชการที่ต้องสร้าง ต่ำๆใช้งบนับหมื่นล้านบาท ที่สำคัญตั้งข้อสังเกตว่างบก่อสร้างเป็นเหตุผลที่นายพิเชษฐ์นำเสนอโครงการหรือไม่ สส.ที่คัดค้านระบุว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ต้องชี้แจงเพราะโครงการนี้สร้างภาระหนี้สินผูกพันสภาไปตลอด และทำไปเพื่อใครกันแน่ ทั้งนี้ ในปี 2556 สมัยนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ พยายามเริ่มโครงการไว้ 24 แห่ง นำร่องไป 6 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย ขอนแก่น อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี พระนครศรีอยุธยา และชลบุรี แต่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในขณะนั้นยุบไป เพราะไม่ผ่านการประเมิน ไม่คุ้มค่ากับงบที่สูงถึง 50.3 ล้านบาท

รองประธานสภาฯลุยไม่ถอย

ต่อมานายพิเชษฐ์แถลงกรณีแนวคิดจัดตั้งรัฐสภาจังหวัด ที่ถูกมองเป็นการผลาญงบว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ได้ประชุมนัดแรกฟื้นการจัดตั้งรัฐสภาจังหวัด เพื่อให้ภารกิจรัฐสภาเข้าถึงประชาชน ในการประชุมยังไม่มีเรื่องของบ ที่ว่าจะผลาญงบ เตรียมคอร์รัปชันไม่เป็นความจริง รัฐสภาจังหวัดเดิมมีอยู่แล้วสมัยนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาฯ เริ่มไว้ 6 จังหวัด ครั้งนั้นไม่มีการทุจริต แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติปี 49 ถูก สนช.ให้ยุติลง แต่เราเห็นว่ามีประโยชน์ จะเริ่มต้นใหม่ปี 68 ยังไม่ได้กำหนดจะใช้งบเท่าใด ขณะนี้มีเพียงการประเมินอาจใช้งบไม่คุ้มค่า ยืนยันตั้งรัฐสภาจังหวัดไม่ซ้ำซ้อนกับศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทยที่รับเรื่องร้องเรียนฝ่ายบริหารของรัฐสภาเป็นอีกส่วน หากกระจายไปอยู่ภูมิภาคจะตรวจสอบฝ่ายบริหาร และช่วยเหลือประชาชนได้มากขึ้น

“ชลน่าน” ตั้งเมียนั่งกุนซือสุดคุ้ม

ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงการลงนามแต่งตั้ง พญ.นวลสกุล บำรุงพงศ์ ภรรยา เป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข ว่า ที่ผ่านมาเวลารัฐมนตรีแต่งตั้งญาติหรือคนใกล้ชิดเข้ามา มักจะถูกเพ่งเล็งว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ตนก็คำนึงถึงเรื่องนี้พอสมควร แต่เมื่อดูความรู้ความสามารถความเหมาะสมของ พญ.นวลสกุลแล้ว ได้ตัดสินใจโดยขอใช้คำว่า ลงทุนในเรื่องนี้ เพราะคณะที่ปรึกษา ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีเงินเดือน เป็นคณะทำงานอาสาเข้ามาทำงานทางการเมืองแบบอุทิศตน และงานที่ต้องการปรึกษามีความจำเพาะคือ เรื่องการสื่อสารโดย พญ.นวลสกุลเคยเป็น ผอ.กองสารนิเทศ เมื่อปี 34 เคยตั้งทีมพยาบาลประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจระหว่างแพทย์ ผู้ป่วย และญาติ ขณะที่เมื่อตนเป็น สส.เป็นหัวหน้าพรรคพท. และเป็นผู้นำฝ่ายค้าน พญ.นวลสกุลมีผลงานในการสื่อสารทางการเมือง ทำให้ตนได้ยืนอยู่ตรงนี้ ได้เป็นอย่างดี ที่ปรึกษาไม่มีหน้าที่สั่งการข้าราชการ สื่อสารเรื่องการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากรที่มีมากกว่า 5 แสนคน เมื่อดูกิจกรรมที่ให้ พญ.นวลสกุลทำแล้ว ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน

“เสริมศักดิ์” ปัดเคลมผลงานโบแดง

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์กรณีสื่อออนไลน์สำนักหนึ่งพาดหัวข่าวการขึ้นทะเบียนมรดกโลก เมืองโบราณศรีเทพ ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงในรัฐบาลเศรษฐาจนถูกกระแสตีกลับจากสังคมว่าชุบมือเปิบ มีผู้สื่อข่าวมาถามนำว่าเมืองโบราณศรีเทพได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เป็นผลงานรัฐบาลหรือไม่ ในความเข้าใจของตนนั้นหมายถึงรัฐบาลทุกชุดที่ร่วมดำเนินการ มาจนถึงรัฐบาลชุดนี้ ที่ทำงานต่อเนื่องกัน ถือเป็นตัวแทนประเทศไทยที่นำมาเพื่อความสำเร็จ จึงตอบไปว่าใช่ เป็นของรัฐบาล แต่ไม่ได้หมายความระบุ เป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลชุดนี้ เพราะเห็นว่า งานมรดกโลกเป็นงานสำคัญของประเทศ มีการประสานงานส่งต่อกันเพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจร่วมกัน ด้วยเวลาการสัมภาษณ์ที่จำกัดทำให้ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม ที่สำคัญต้องขอขอบคุณรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่เริ่มต้นมาด้วยดี

ราชทัณฑ์งดจ้อ “ทักษิณ” ผ่าตัด

อีกเรื่อง นายนัสที ทองปลาด ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกระแสข่าวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารับการผ่าตัดเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ทางแพทย์ยืนยันว่าอาการอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยและดีขึ้นตามลำดับว่า กรมราชทัณฑ์ได้รับรายงานจากทีมแพทย์ที่รักษานายทักษิณเรียบร้อยแล้ว ส่วนรายละเอียดการรักษาของผู้ต้องขังว่าผ่าตัดเพราะโรคใดนั้น กรมราชทัณฑ์และทีมแพทย์ไม่สามารถ ให้ข้อมูลได้ เนื่องจากอาการเจ็บป่วยถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ แต่หากเป็นผู้ใกล้ชิดหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจให้เปิดเผย จึงสามารถพูดเรื่องการรักษาของเจ้าตัวได้ ส่วนเรื่องการวินิจฉัยอาการนายทักษิณของแพทย์ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นไปตามขั้นตอนระเบียบของกรมราชทัณฑ์ว่าภายในช่วงสิ้นเดือนก.ย. จะมีการอนุมัติให้นายทักษิณยังคงนอนพักรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลตำรวจหรือไม่อย่างไร แต่ตอนนี้นายทักษิณยังคงนอนพักที่ รพ.ตำรวจต่อไปก่อน

ผบ.ตร.งานยุ่งยังไม่รับรายงาน

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯจะทำหนังสือถึงทีมแพทย์ รพ. ตำรวจ เพื่อสอบถามอาการนายทักษิณว่าจะสามารถนำกลับมารักษาในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้หรือไม่ว่า ยังไม่ได้รับรายงาน เป็นหน้าที่ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบแทน ส่วนตัวมีงานเยอะจึงยังไม่ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องของโรงพยาบาลตำรวจกับกรมราชทัณฑ์ เมื่อถามว่าจะครบ 1 เดือนที่นายทักษิณเข้ารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ มีหลายฝ่ายกดดันให้มีการชี้แจงอาการป่วยให้สังคมรับทราบ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ตอบว่า ขอหารือกับ พล.ต.ท.ประจวบก่อน เรื่องนี้ไม่ได้ลงไปในรายละเอียด และยังไม่ได้สอบถาม อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์และทางกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจเป็นสถานที่ รักษาพยาบาลตามที่กรมราชทัณฑ์ใช้ดุลพินิจ หลังจากนี้ จะไปพูดคุยกัน

ศาลฎีกาพิพากษา “ช่อ” กระทำมิบังควร

ที่ศาลฎีกา องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ คมจ.1/2565 ระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ผู้ร้อง กับ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือช่อ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ผู้คัดค้าน ตามคำร้องข้อ 4.1 (1)-(6) ในลักษณะเป็นการกระทำอันมิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ลงในเว็บไซต์เฟซบุ๊กชื่อบัญชี “Pannika Chor Wanich” ของผู้คัดค้าน ต่อมาผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งเป็น สส. ภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวยังคงปรากฏอยู่ในบัญชีการใช้งานเฟซบุ๊กในลักษณะเป็นสาธารณะ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปดูได้ต่อเนื่อง โดยผู้คัดค้านมิได้กระทำการใดๆ หรือลบภาพและข้อความดังกล่าวออกจากบัญชีเฟซบุ๊ก เป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพและเทิดทูนต่อสถาบันฯ ขอให้พิพากษาว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กับเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน มีกำหนดเวลาไม่เกินสิบปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาตรา 87

ชี้พฤติกรรมมิบังควร-ไม่เคารพ

ศาลฎีกาพิพากษาว่า เมื่อพิจารณาการกระทำของผู้คัดค้านตามคำร้องซึ่งกระทำต่อเนื่องกันมา จึงต้องนำการกระทำทั้ง 6 กรณีมาพิเคราะห์ เพื่อหยั่งทราบเจตนาว่ามุ่งประสงค์อย่างไร การกระทำตามคำร้องย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าผู้คัดค้านมีเจตนาพาดพิงถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 และพาดพิงถึงสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ (พระนามในขณะนั้น) อันเป็นการแสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือมิบังควรอย่างยิ่ง เป็นการไม่เคารพในหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้คัดค้านที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนดำรงตำแหน่งสส. และขณะเป็น สส. เมื่อผู้คัดค้านยังคงปล่อยให้ภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์บัญชีการใช้งานเฟซบุ๊ก ในลักษณะเป็นสาธารณะบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้

ห้ามลงสมัคร-รับตำแหน่งตลอดไป

พฤติการณ์เป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 ประกอบพ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช.มาตรา 87 และมาตรฐานทางจริยธรรมฯข้อ 6 ประกอบข้อ 27 วรรคหนึ่ง ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 วรรคสาม และวรรคสี่ แต่ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการไม่ยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯข้อ 5 จึงยังไม่เห็นสมควรเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘อีลอน มัสก์’ หนุน ‘ทรัมป์’ พนักงานบริจาคให้‘แฮร์ริส’

ข้อมูลจากโอเพนซีเคร็ตส์ องค์กรไม่หวังผลกำไรไม่แบ่งฝักฝ่าย ผู้ติดตามข้อมูลการบริจาคเงินหาเสียงและการล...

สหภาพแรงงาน Teamsters ไม่หนุน'ทรัมป์-แฮร์ริส'

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า สหภาพแรงงานทีมสเตอร์สมีสมาชิกกว่า 1.3 ล้านคน เป็นตัวแทนของกลุ่มคนขับรถบร...

ครึ่งแรกปี67จีนครองแชมป์ซื้อคอนโดเมียนมาซิวเบอร์สองแซงรัสเซีย2ปีซ้อน

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เป...

อสังหาฯ แบกสต็อกอ่วม 1.57 ล้านล้าน เอ็นพีแอลพุ่ง ‘ทุกตลาดติดลบหนัก’

นายกสมาคมอาหารชุด หวังเร่งแก้นอมินีต่างชาติในตลาดบ้านมูลค่า 1 ล้านล้านบาท จัดเก็บภาษี หวังแบงก์ชาติล...