จับจังหวะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก่อนการเลือกตั้ง โอกาสหรือความเสี่ยง

การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 2567 เป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ และกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนโยบายหลักของผู้ชนะจะมีโอกาสกำหนดทิศทางการลงทุนต่อจากนี้ ดังนั้นการวางแผนการลงทุนล่วงหน้า จึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อรับมือกับความผันผวนที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่นโยบายที่แตกต่างกันของ คามาลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรคริพับลิกัน ว่าแต่ละคนจะผลักดันอุตสาหกรรมไหน และมีแนวโน้มกระทบต่อหุ้นกลุ่มใด

เริ่มกันที่ฝั่งเดโมแครต คามาลา แฮร์ริส ซึ่งมีนโยบายสำคัญหลายด้านที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียม โดยเฉพาะการสนับสนุนชนชั้นล่างและชนชั้นกลางอย่างชัดเจน เช่น 1.นโยบายภาษี มีแผนลดหย่อนภาษีสำหรับครอบครัวชนชั้นกลางมากกว่า 100 ล้านครัวเรือน และเพิ่มอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็นสูงสุด 28% เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ในหลายอุตสาหกรรมอาจเผชิญกับแรงกดดันจากการปรับเพิ่มภาษีนิติบุคคล รวมถึงการตรวจสอบเรื่องการผูกขาดที่เข้มงวดขึ้นจากกฎหมายควบคุมการผูกขาด (antitrust)

2.นโยบายด้านพลังงาน แฮร์ริสมีเป้าหมายในการสนับสนุนการลงทุนในพลังงานสะอาด ซึ่งมีโอกาสทำให้บริษัท เช่น ผู้ผลิตรถ EV และแผงโซลาร์เซลล์ ได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว 3.นโยบายการค้าระหว่างประเทศ แฮร์ริสมีแนวโน้มที่จะสานต่อนโยบายของไบเดน ซึ่งคือ การกีดกันทางการค้ากับจีน เช่น การเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่มาจากจีน รวมถึงไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีของฝั่งสหรัฐฯ 4. นโยบายด้าน AI แฮร์ริสได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยมีแนวโน้มที่จะออกกฎหมายกำกับดูแลการพัฒนา AI โดยเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันต่อหุ้นเทคฯ ใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ในระยะข้างหน้า

ในขณะที่ฝั่งริพับลิกันนำโดย ทรัมป์ นโยบายเด่นๆ เน้นการสนับสนุนภาคธุรกิจในประเทศ หนึ่งในนโยบายที่ต่างจากแฮร์ริสชัดเจน คือ 1. นโยบายภาษี โดยมีแผนลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เหลือ 15% สำหรับบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นนโยบายที่ช่วยส่งเสริมกำไรของภาคธุรกิจ และส่งเสริมการผลิตสินค้าในประเทศไปพร้อมๆ กัน 2. นโยบายด้านพลังงาน ที่ยังคงสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้อาจเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในกลุ่มพลังงานดั้งเดิม 

3. นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ทรัมป์มีแผนเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าทุกชนิด 10% และเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนอย่างน้อย 60% ซึ่งจะกระทบกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ เป็นวงกว้างกว่าเมื่อเทียบกับแฮร์ริสที่เน้นไปแค่จีนเพียงประเทศเดียว 4. นโยบายด้าน AI ทรัมป์ค่อนข้างผ่อนคลายกับเรื่อง AI โดยมีโอกาสเปิดให้มีการพัฒนาและใช้ AI ได้แบบเสรี ดังนั้นกลุ่มบริษัทเทคฯ ใหญ่มีแนวโน้มที่จะได้รับอานิสงส์ หากทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี

จากสถิติในอดีตตั้งแต่ปี 2471-2563 พบว่าในช่วงที่ตัวแทนจากพรรคริพับลิกันได้ถูกเลือกเป็นประธานาธิบดี S&P 500 ดัชนีตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะสร้างผลตอบแทนในปีเลือกตั้งได้เฉลี่ย 15.3% ดีกว่าเมื่อตัวแทนพรรคเดโมแครตถูกเลือก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.4% หนุนจากการมีนโยบายที่สนับสนุนตลาดทุนมากกว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงอาจตอบรับในเชิงบวกหากทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี แม้ตลาดหุ้นอื่นๆ จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นก็ตาม 

อย่างไรก็ดีหากอิงจากผล national poll ณ วันที่ 7 ต.ค. 2567 พบว่าแฮร์ริสนำทรัมป์อยู่เล็กน้อย โดยได้คะแนนอยู่ที่ 48.5% ต่อ 45.9% ดังนั้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้จึงมีความสูสี เดาผลได้ยาก ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนมากขึ้น จะพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเผชิญความผันผวนสูงในช่วงก่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดีเมื่อการเลือกตั้งผ่านพ้นไปตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังคงสามารถปรับขึ้นต่อได้โดยเฉลี่ย

ที่มา : J.P. Morgan ณ วันที่ 9 พ.ย. 2566

เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ นักลงทุนอาจใช้วิธีกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในดัชนีหลักของสหรัฐฯ เพื่อช่วยลดความผันผวนของหุ้นรายตัว โดยปัจจุบันนักลงทุนสามารถกระจายลงทุนในดัชนีหลักของสหรัฐฯ ได้สะดวกผ่านตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ Depositary Receipts (DR) ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยและซื้อขายด้วยสกุลเงินบาท 

โดยสามารถกระจายลงทุนใน 2 ดัชนีเรือธงของสหรัฐฯ ได้ผ่าน 1) SP50001 ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Hang Seng S&P 500 Index ETF (3195) ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี S&P 500 ซื้อขายครั้งแรกในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. 2567 และ 2) DR NDX01 ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงคือ China AMC NASDAQ 100 ETF (3086) ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งรวบรวมบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ bualuang.co.th/dr

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘เอส โอเอซิส’ ฮับธุรกิจดาวรุ่ง ‘โทรคม-พลังงาน-EV-เทคโนฯ’แห่เช่าพื้นที่

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดีมานด์ข...

เปิดแล้ววันนี้วัน แบงค็อกอภิมหาโปรเจกต์แสนล้านแลนด์มาร์คใหม่ย่านพระราม4

‘วัน แบงค็อก’ One Bangkok ถือเป็นอภิมหาโปรเจกต์มิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยมูลค่าการลงทุนสู...

“อัปเดตการพัฒนา SEC Digital Services มุ่งสู่ตลาดทุนดิจิทัล (1)”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก.ล.ต. จัดงานสัมมนา “SEC Digital Services” ในหัวข้อ “Digital Horizons : Shaping ...

จับจังหวะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก่อนการเลือกตั้ง โอกาสหรือความเสี่ยง

การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 2567 เป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ และ...