สหรัฐเปิดศึกอีคอมเมิร์ซกับจีน จ่อเก็บภาษีสินค้ามูลค่าไม่ถึง 800 ดอลล์ด้วย

ในภาพการขับเคี่ยวระหว่างสองมหาอำนาจโลก “สหรัฐ” ที่ต้องการรักษาความเป็นที่ 1 กับ “จีน” ที่ขึ้นมาท้าทายบัลลังก์นี้ อเมริกาจึงพยายามสกัดจีนตั้งแต่การตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนสูงถึง 100% โดยเฉพาะกับรถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงล็อบบี้ประเทศพันธมิตรไม่ให้ส่งชิ้นส่วนชิปขั้นสูงไปยังจีน

ล่าสุด สงครามนี้ดูเหมือนขยายไปสู่ “ภาคอีคอมเมิร์ซ” แล้ว เมื่อรัฐบาลไบเดนจ่อ “ยกเลิก” ระเบียบที่เปิดทางให้พัสดุที่มีการระบุมูลค่าไม่ถึง 800 ดอลลาร์ (ราว 26,000 บาท) เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องชำระภาษี หรือที่เรียกว่า “De minimis” ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันจากเหล่าสมาชิกรัฐสภาสหรัฐที่มองว่า ระเบียบดังกล่าวได้เปิด “ช่องโหว่” ให้สินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้าสหรัฐได้เป็นจำนวนมหาศาล โดยไม่ต้องเสียภาษี จนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศขาดดุลการค้าจีนสูงถึง 157,777 ล้านดอลลาร์ในช่วง ม.ค.-ก.ค. 2567 และส่งผลให้ผู้ประกอบการอเมริกันที่แข่งขันราคาไม่ไหว จำต้องปิดกิจการลง

บรรดาผู้ผลิตสิ่งทอของสหรัฐตำหนิการยกเว้นนี้ว่า อนุญาตให้แพ็กเกจเสื้อผ้าที่มีมูลค่าต่ำหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า Section 301 ของสหรัฐ ซึ่งครอบคลุมประมาณ 70% ของการนำเข้าสิ่งทอและเครื่องแต่งกายขนาดใหญ่จากจีน

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไบเดนจึงหยิบยกช่องโหว่ทางภาษีดังกล่าวขึ้นมาพิจารณายกเลิกหรือปรับเปลี่ยนใหม่ 

- กองสินค้าจีน (เครดิต: AFP) -

“แรงงานและธุรกิจชาวอเมริกันสามารถแข่งขันกับใครก็ได้หากอยู่บนสนามที่เท่าเทียมกัน แต่เป็นเวลานานเกินไปแล้วที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีนหลบเลี่ยงภาษีศุลกากร โดยใช้ประโยชน์จากข้อยกเว้น De minimis” จีน่า ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐกล่าว

ส่วนโฆษกของคณะกรรมาธิการฝั่งรีพับลิกันที่สอบสวนกรณีสินค้าจีนได้กล่าวว่า หากระเบียบ 800 ดอลลาร์นี้มีการเปลี่ยนแปลง เสื้อยืด 5 ดอลลาร์และเสื้อกันหนาว 10 ดอลลาร์จากจีน อาจเห็นราคาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20%

ด้าน นีล ซอนเดอร์ส (Neil Saunders) นักวิเคราะห์การค้าปลีกและกรรมการผู้จัดการของ GlobalData มองว่า “หากยกเลิกการยกเว้นภาษี De minimis สินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์จีนอย่าง Shein และ Temu จะมีราคาสูงขึ้น แม้จะยังคงอยู่ในตลาดราคาประหยัด แต่จะเสียเปรียบด้านราคาที่เคยมี จนอาจทำให้ส่วนแบ่งการตลาดลดลง หรือการเติบโตช้าลง เพื่อการปรับตัว บริษัทเหล่านี้อาจหันไปขายสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของผลิตภัณฑ์”

- หน้าตาเว็บ Temu ในสหรัฐ -

สหรัฐส่งคณะหารือกับจีนในสัปดาห์นี้

จากกรณีสินค้าถูกจากจีนทะลักเข้ามา สหรัฐจึงส่งคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปยังกรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับสูงกับจีน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำความกังวลถึงสินค้าจีนที่กำลังท่วมตลาดโลก

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อเมริกันที่นำโดย เจย์ แชมบอห์ (Jay Shambaugh) ปลัดกระทรวงการคลังฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ จะจัดการเจรจากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง

การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการพบปะครั้งที่ห้าของกลุ่มทำงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยรัฐบาลทั้งสองประเทศเมื่อปีที่แล้ว เพื่อเพิ่มการสื่อสารในช่วงเวลาที่การแข่งขันระหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยในกลุ่มนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จากธนาคารกลางสหรัฐ รวมอยู่ด้วย

ปฏิรูประเบียบให้สินค้าอเมริกันแข่งราคากับจีนได้

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา Temu และ Shein ได้ครองใจผู้บริโภคชาวสหรัฐด้วยราคาที่ต่ำมากและสามารถผลิตสไตล์สินค้ามาแรงได้เร็วกว่าคู่แข่งจากสหรัฐ โดย Shein คาดว่าจะมีรายรับมากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ไม่ชัดเจนว่ายอดขายของ Temu เป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทแม่ Temu  อย่าง PDD Holdings มีรายรับ 34,900 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2023 เพิ่มขึ้น 90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในฐานะที่เป็นจุดหมายการช้อปปิ้งอันดับต้น ๆ บริษัททั้งสองได้แย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งที่ให้บริการกลุ่มผู้บริโภคที่คล้ายกัน เช่น H&M, Zara, Target, Walmart และ Amazon ซึ่งหากราคาของ Shein เพิ่มขึ้น 20% จะทำให้สินค้าของบริษัทมีความใกล้เคียงกับของคู่แข่งมากขึ้น จนอาจทำให้ Shein แข่งขันได้ยากขึ้น

ตัวอย่างเช่น ราคาเฉลี่ยของชุดเดรสบน Shein คือ 28.51 ดอลลาร์ ณ วันที่ 1 มิถุนายน ตามข้อมูลจาก Edited บริษัทวิจัยในลอนดอนที่วิเคราะห์กลยุทธ์การกำหนดราคาของบริษัท
ราคาในขณะนั้นต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของชุดเดรส H&M และ Zara ซึ่งอยู่ที่ 40.97 ดอลลาร์และ 79.69 ดอลลาร์ตามลำดับ ตามข้อมูลของ Edited

อย่างไรก็ตาม หากต้นทุนเพิ่มขึ้น 20% จากการแก้ไขระเบียบ De minimis ราคาเฉลี่ยของชุดเดรสบน Shein จะเป็น 34.21 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับราคาเฉลี่ยของ H&M มากกว่า

“การปฏิรูปกฎระเบียบ De minimis ในที่สุดได้นำไปสู่สนามแข่งขันที่มีความยุติธรรมและเท่าเทียมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับภาษีศุลกากรอื่นๆ ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ ผู้บริโภคจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น” ซอนเดอร์สกล่าว


อ้างอิง: cnbc, wsj, reuters, census

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ระเบิด ‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่าที่กลับมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ “โทรศัพท์มือถือ” จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโล...

เปิดเหตุผล 'ไปรษณีย์ไทย' ทำไมโดดร่วมสมรภูมิ 'เวอร์ชวลแบงก์'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.) เป็นวันปิดรับคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแ...

แกะกล่อง 'iPhone 16' และ 'iPhone 16 Pro Max' ส่องจุดเด่น มีลูกเล่นอะไรใหม่

แกะกล่องเป็นกลุ่มแรกๆ กับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max ที่วันนี้ KT Review จะพาไปดูว่าหนึ่งรุ่นเร...

‘ไมโครซอฟท์ - กูเกิล’ มอง ‘Digital Trust’ วาระท้าทาย ชีวิตบนโลกดิจิทัล

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน “60 Years OF EXCELLENCE” ฉลองครบรอบ 60 ปี เชิญผู้นำจา...