“ธนพร ศรียากูล” บริจาคเงินให้ “พรรคประชาชน” ขอให้กำลังใจ ไม่เคยเห็นพรรคที่โดนยำแล้วฮึดสู้ แนะ “คณะก้าวหน้า-พรรค” วางตัวให้ดี หวั่นมีนายใหญ่สั่งการ หลังตั้ง “ศรายุทธิ์” เพื่อนซี้ “ธนาธร” เป็นเลขาฯ พรรค ฟันธง 44 สส. ร่วงแน่ ขอทีมกฎหมายแก้เกมให้ดี อย่ามองโลกสวย เพราะ “ขั้วอำนาจเดิม” ลงแรงกันเต็มที่
วันที่ 10 ส.ค. 2567 ที่สเตเดียมวัน รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันการเมือง สถาบันพระปกเกล้า เดินทางมาบริจาคให้พรรคประชาชน จำนวน 3,000 บาท เพื่อเป็นการสนับสนุน หลังจากที่ถูกยุบพรรค เพราะตนเห็นว่าเป็นบททดสอบเพื่อต่อสู้เอาชนะทางการเมือง ซึ่งแบบนี้ตนก็ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าพรรคที่ถูกยุบจะลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ หลายพรรคที่ถูกยุบปกติก็จะสิ้นสภาพไป ส่วนในอนาคตจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่อย่างไร ก็ต้องจับตาดูต่อไป
อ.ธนพร กล่าวต่อว่า ขณะนี้พรรคประชาชนไม่มีวิธีทางอะไรมาก สิ่งที่ต้องรีบทำคือสั่งสมชัยชนะ เรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้มากที่สุด จากการยุบพรรค โดนรุมกระทืบแน่นอนว่าทุกคนแผ่ว ต้องกังวลกันเป็นปกติ ซึ่งตนก็คาดหวังว่าปลายปีนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคจะแสดงบทบาทการเป็นฝ่ายค้านได้ดี
เมื่อถามถึงการตั้ง นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เพื่อนสนิทของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่นั้น อ.ธนพร ตั้งข้อสังเกต ระหว่างคณะก้าวหน้าเป็นผู้นำทางความคิด กับพรรคที่เป็นผู้ปฏิบัติ ซึ่งจะต้องจัดวางความสัมพันธ์กันให้ดี เพราะไม่เช่นนั้น จากจุดแข็งจะเป็นจุดอ่อน อาจจะถูกร้องเรียนได้ และตนก็ไม่อยากให้เกิดภาพที่พรรคประชาชนมีนายใหญ่หลายคน มีคณะโปลิตบูโรมาคอยชี้นำเหมือนกับพรรคการเมืองอื่นๆ
...
ส่วนยุทธศาสตร์ในการตั้งพรรคใหม่ นำบุคคลในจำนวน 44 สส. ที่อาจถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิตจาก ป.ป.ช. มาเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค และยืนหยัดแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 นั้น อ.ธนพร เห็นว่าการแก้ไขกฎหมายเป็นสิ่งที่พรรคควรยืนหยัดถูกต้องแล้ว ตนก็สนับสนุนแนวทางนั้นอยู่แล้ว ส่วนกระบวนการก็ต้องไปปรับกัน หากว่าพรรคถอยเรื่องนี้ ก็คงเสียความเป็นตัวตน ส่วนเรื่อง 44 สส. ตนวิเคราะห์ว่าไม่รอดสักคนเดียว เพราะขั้วอำนาจเดิมที่ลงแรงมาขนาดนี้ก็คงไม่ยั้งมือ สส.แกนนำหลายคน ก็คงต้องไปต่อสู้ในชั้น ป.ป.ช.ให้ดี เพราะจากคดียุบพรรค ตนก็อยากให้ทีมกฎหมายพรรคไปทำการบ้านมาใหม่ และไม่อยากให้มองในแง่ดีมากเกินไปเพราะกลัวอำนาจเดิมก็จ้องจะถอนรากถอนโคนอยู่แล้ว
ส่วนการที่พรรคกล้าเสี่ยงนำบุคคลเหล่านี้มานำนั้น ก็เพราะว่าไม่มีทางเลือกมาก เป็นข้อบังคับของสถานการณ์ หากไม่ใช้คนเหล่านี้ก็คงจะขาดความเชื่อมั่น แต่ตนก็เชื่อว่าบุคคลที่ยังไม่ได้ขึ้นมาเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีคุณภาพ
