“จุลพันธ์” เผยยอดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ผ่าน 6 ชั่วโมง ลงทะเบียนผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” แล้ว 10.5 ล้านคน ยัน ระบบไม่ได้ล่ม แต่ช่วงเช้าคนแห่เข้า ย้ำ กลุ่มสมาร์ทโฟนมีเวลาถึง 15 ก.ย. 67
วันที่ 1 สิงหาคม 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงสรุปภาพรวมการลงทะเบียนยืนยันตัวตนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet หรือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต วันแรก ว่า หลังเปิดลงทะเบียน 6 ชั่วโมง (08.00-14.00 น.) ยอดลงทะเบียนสำเร็จเกิน 10.5 ล้านคนแล้ว ซึ่งเกินเป้าหมายที่ได้วางไว้ในวันแรก และนับเป็น 20% ของยอดที่มี ขณะเดียวกัน ทีมงานหลังบ้านก็ได้มีการติดตามปัญหาการลงทะเบียนอย่างเข้มงวด หลังจากนี้จะเปิดบริการให้ลงทะเบียน KYC ตลอด 24 ชั่วโมงไปจนถึงวันที่ 15 กันยายน 2567
นายจุลพันธ์ ยังย้ำด้วยว่า คนที่ลงทะเบียนก่อนจะต้องได้สิทธิก่อน โดยหลังจากที่เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 08.00 น. พบว่ามีประชาชนกดเข้าไปลงทะเบียนขอรับสิทธิเป็นจำนวนมากจนทำให้ระบบขัดข้องในช่วง 10 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ก็คลี่คลาย เชื่อว่าหลังจากนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องระบบล่าช้าอีกแล้ว ยืนยันว่าระบบไม่ได้ล่ม แต่มีการอัปเดตแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” (เวอร์ชัน 3.0.0) เมื่อคืนที่ผ่านมา แต่หากโทรศัพท์มือถือไม่ได้มีการอัปเดตเวอร์ชันก็จะมีปัญหา จึงแนะนำให้ประชาชนที่โหลดแอปฯ “ทางรัฐ” ก่อนหน้านี้ เข้าไปอัปเดตเวอร์ชันให้เป็นปัจจุบัน
...
อีกส่วนที่มีปัญหาคือโทรศัพท์บางรุ่นที่ยังไม่รองรับกับเวอร์ชันใหม่ แนะนำให้ลบแอปฯ เดิมทิ้งแล้วโหลดมาใหม่ ก็จะแก้ปัญหาได้ เพราะสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอปพลิเคชันเดิมใช้ไม่ได้ เพราะยังมีเศษเดิมตกค้างอยู่ เลยทำให้เป็นปัญหา จึงจำเป็นต้องลบแอปฯ เก่าทิ้งแล้วโหลดมาใหม่ ซึ่งหลังจากได้ทดสอบกับประชาชนกลุ่มหนึ่งที่มีปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้ จนถึงตอนนี้การลงทะเบียนราบรื่นดี เดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งวันนี้ในเวลา 18.00 น. จะสรุปยอดของคนลงทะเบียนของวันนี้ให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้ง
สำหรับเรื่องที่นายกรัฐมนตรีเป็นห่วง กรณีที่มีประชาชนบางกลุ่มขอย้ายทะเบียนราษฎร มาอยู่ในเมืองหลวงเพราะหวังจะเอาเงินดิจิทัล 10,000 มาใช้ ซึ่งจะไม่ตอบโจทย์การกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า หากมีการขอย้ายทะเบียนราษฎรกันเป็นจำนวนมากก็จะไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะวัตถุประสงค์ของรัฐบาลในการทำโครงการนี้ ต้องการที่จะกระจายเม็ดเงิน การย้ายทะเบียนราษฎรเพื่อมารับสิทธิในเมืองใหญ่สามารถทำได้ แต่ก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำ เพราะโครงการนี้คร่อมเทศกาลใหญ่ 2 เทศกาล คือ ปีใหม่และสงกรานต์ เชื่อว่ามีโอกาสที่ประชาชนจะได้กลับภูมิลำเนาไปใช้เงิน เพื่อสร้างการกระจายเงินในชุมชน แต่หากใครที่ไม่ตัดสินใจกลับบ้านจริงๆ ก็เป็นไปได้ที่จะขอย้ายทะเบียนราษฎรเพื่อมาใช้เงิน 10,000 บาท ในพื้นที่ที่ตัวเองทำงานอยู่
“แต่ต้องยอมรับว่าหากย้ายทะเบียนราษฎรมาแล้ว ก็เป็นประชากรแฝงอยู่ในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ หากมีคนแห่ย้ายทะเบียนราษฎรเพื่อมาเอาสิทธิ์ในเมืองหลวง ก็อาจส่งผลกระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างจังหวัดและชุมชนจริง แต่อย่างหนึ่งที่สะท้อนคือ ประชากรที่อยู่ในพื้นที่ในเมืองใหญ่มีความหนาแน่นมากกว่าที่มีการแจ้งข้อมูลในทะเบียนราษฎร ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ และไม่อยากชักชวนใครให้ย้ายทะเบียนราษฎร จึงขอสื่ออย่าให้ความสนใจ”
พร้อมกันนี้ นายจุลพันธ์ ยังยืนยันด้วยว่า งบประมาณสามารถรองรับจำนวนประชากรที่ได้รับสิทธิ 50.9 ล้านคน แต่หากสุดท้ายมาลงทะเบียนเท่าไร ก็จะจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอตามจำนวนนั้น อย่าเป็นห่วงว่ามาลงทะเบียนวันนี้กับวันสุดท้ายคนมาวันแรกจะได้ก่อน ไม่เกี่ยวกัน ทุกคนจะได้เงิน 10,000 บาท หากมีคุณสมบัติและสิทธิอยู่ในข้อจำกัดที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าแฮกเกอร์ไม่สามารถแฮกเอาข้อมูลในระบบ “ทางรัฐ” ได้ หลังจากที่ช่วงเช้าระบบขัดข้อง ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลระบบไม่พบการโจมตีแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่มีการแจ้งว่าโทรศัพท์ยี่ห้อจีนบางรุ่นไม่สามารถโหลดแอปพลิเคชันทางรัฐ และเข้าไปลงทะเบียนได้นั้น ก็จะรับปัญหานี้ไปตรวจสอบเพื่อหาทางแก้ไขให้ประชาชนได้มีสิทธิในการลงทะเบียน.