'โตโยต้า' รั้งแชมป์ ยอดขายทั่วโลกมากสุด 5 ปีซ้อน แต่การผลิตลดลง 5 เดือนติด

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า "โตโยต้า มอเตอร์" เผยว่าครึ่งแรกของปี 2567 ขายรถยนต์ได้ 5.16 ล้านคันทั่วโลก ซึ่งเป็นยอดขายที่มากกว่าคู่แข่งจากเยอรมนีอย่าง โฟล์คสวาเกน เอจี ทำให้โตโยต้าสามารถรักษาอันดับ 1 สำหรับยอดขายทั่วโลกมากที่สุดเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน

ทว่าในช่วงครึ่งปีแรก โตโยต้า และบริษัทในเครืออย่างไดฮัทสุ มอเตอร์ และบริษัทลูกที่ผลิตรถบรรทุกอย่างฮีโน่ มอเตอร์ส มียอดขายทั่วโลกลดลง 4.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการหยุดการผลิตที่เกิดจากเรื่องอื้อฉาวด้านคุณภาพหลายครั้ง และยอดขายที่ซบเซาในจีน

ในครึ่งปีแรก โตโยต้า และเลกซัสขายรถยนต์รวมกันได้ 4.89 ล้านคันทั่วโลก โดยไดฮัทสุ และฮีโน่ขายได้ 210,910 คัน และ 59,273 คันตามลำดับ

ขณะที่ยอดขายในประเทศของทั้งกลุ่มลดลง 32.0% เหลือ 823,595 คัน เนื่องจากไดฮัทสุระงับการผลิตชั่วคราวหลังจากพบว่ามีการปลอมแปลงข้อมูลในการทดสอบความปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม โตโยต้ามียอดขายในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 3.1% เป็น 4.34 ล้านคัน เนื่องจากความต้องการที่แข็งแกร่งในอเมริกาเหนือ และยุโรป

การผลิตลดลง 5 เดือนติด เซ่นพิษข่าวฉาว

สำหรับยอดการผลิตรถยนต์ทั่วโลกทั้งหมดของโตโยต้าในรอบครึ่งปีแรกอยู่ที่ 5.07 ล้านคัน หรือลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.8%

รอยเตอร์รายงานว่ายอดการผลิตเฉพาะในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ลดลง 12.9% อยู่ที่ 795,862 คัน ซึ่งเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 รวมถึงการผลิตของตลาดในประเทศอย่างญี่ปุ่นลดลง 18.8%

โรงงานประกอบของกลุ่มโตโยต้าในประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมดกลับมาดำเนินการอีกครั้งในเดือนพ.ค.หลังจากประกาศหยุดการผลิตในเดือนธ.ค.และหยุดผลิตในบางประเทศด้วย

ส่วนในตลาดจีนนั้น ยอดการผลิตเดือนมิ.ย. ลดลงถึง 21.7% และเป็นเดือนที่ห้าติดต่อกันแล้วที่โตโยต้ามียอดการผลิตในจีนลดลงมากกว่า 20% ส่วนในตลาดอเมริกาเหนือลดลง 6.2% และยุโรปลดลง 6.6%

BYD ชิงส่วนแบ่งตลาดจีน

โตโยต้ากำลังประสบปัญหาในจีน โดยยอดขายของแบรนด์โตโยต้า และเลกซัสในจีนที่ลดลงถึง 10.8% จากการแข่งขันด้านราคากำลังทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากค่ายรถอีวีแบรนด์เจ้าถิ่นอย่าง BYD ได้แย่งส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว ด้วยกลยุทธ์การลดราคา

โตโยต้ามีกำหนดรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกในวันพฤหัสบดีที่ 1 ส.ค.67 นักวิเคราะห์จาก LSEG คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 21% จากปี 2566 คิดเป็น 1.35 ล้านล้านเยน (ราว 3 แสนล้านบาท) โดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง และความต้องการรถยนต์ไฮบริดที่แข็งแกร่งในสหรัฐ

 

 

 

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

'นิคมโรจนะ'โซนอันตรายเหลือขายสูงสุดมูลค่า1.7หมื่นล้าน

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยผลสำรวจอุปทานโดยรวมภาคกลาง ในช่วงครึ่งแรกปี 2567 ที่อยู่อาศัยเสนอขายทั...

ตลาดหุ้นสหรัฐแทบไม่ขยับ นักลงทุนชะลอซื้อหลังดัชนีพุ่งแรงวันก่อน

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (20 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการเข้าซื้อหุ้น...

เจาะพอร์ต 5 เซียนชื่อดัง ถือหุ้นปันผลสูงเกิน 5% รวม 18 หลักทรัพย์

การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้องค์ความรู้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ในทุกปัจจัยอย่างละเอียด ซึ่งม...

น้ำนมดิบอินทรีย์ สร้างรายได้ให้เกษตรกรครบวงจร

นางอังคณา พุทธศรี ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ชัยนาท (สศท.7) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (...