‘เวียดนาม’ จะมุ่งหน้าไปทางใดในยุค ‘โต เลิม’ หลังผู้อาวุโสสุดของพรรคจากไป

นับตั้งแต่เหงียน ฟู้ จ่อง (Nguyen Phu Trong) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2024 ในวัย 80 ปี คณะกรรมการการเมืองและคณะกรรมการกลางของพรรคได้ประกาศว่า ประธานาธิบดี “โต เลิม” (To Lam) จะเข้ามารับช่วงต่อแทนเขา

- โต เลิม (เครดิต: baochinhphu) -

การผลัดใบครั้งใหญ่นี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญตามมาว่า ยุคเวียดนามหลังสมัยเหงียน ฟู้ จ่องจะมีหน้าตาเช่นไร และโต เลิมที่รับช่วงต่อ มีแนวโน้มพาเศรษฐกิจเวียดนามไปในทิศทางใดบ้าง

ซาคารี อาบูซา (Zachary Abuza) ศาสตราจารย์ด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติที่วิทยาลัยสงครามแห่งชาติสหรัฐ ในกรุงวอชิงตัน ได้ให้มุมมองเรื่องนี้ในเว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียว่า “โต เลิม” อยู่ในสถานะอันแข็งแกร่งที่จะสืบทอดต่อจากเหงียน ฟู้ จ่องอยู่แล้ว

‘เตาเผาทุจริต’ ขจัดโกงหรือกำจัดศัตรูการเมือง

อาบูซาแสดงความเห็นว่า ช่วงที่โต เลิมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะตั้งแต่ปี 2016 ถึงปี 2024 เขาเป็นบุคคลสำคัญในการรณรงค์กวาดล้างการทุจริตในแคมเปญที่ชื่อว่า “เตาเผาทุจริตอันลุกโชน” แต่ในการทำเช่นนั้น เขาได้นำ “การสืบสวน” มาใช้เป็นอาวุธจัดการคู่แข่งในคณะกรรมการการเมือง โดยบังคับให้ผู้ที่ต่อต้านเขา หรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งครบสองสมัยและมีสิทธิสืบทอดตำแหน่งจากเหงียน ฟู้ จ่องต้องลาออกอย่างเป็นระบบ

ภายใต้กฎของพรรคที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสามารถแก้ไขได้ มีเพียงนายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ (Pham Minh Chinh) เท่านั้นที่มีสิทธิ์ แม้ว่าข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตของเขาเอง จะดูเหมือนเป็นตัวถ่วงไม่ให้เขาทำอะไรได้มากนัก

ที่ผ่านมา เหงียน ฟู้ จ่องแต่งตั้งผู้ภักดีในตำแหน่งสำคัญในกระทรวงความมั่นคงสาธารณะและสำนักงานคณะกรรมการกลาง โดยในอีก 17 เดือนข้างหน้า เป็นไปได้ว่าจะเห็นการเมืองที่มีความมั่นคงมากขึ้น โดยการรณรงค์ต่อต้านทุจริตได้ช่วยทำให้โต เลิมสามารถรวบอำนาจได้กระชับมากกว่าเดิม

เรื่องความมั่นคงทางการเมือง ถือเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าเวียดนามจะได้รับประโยชน์จากการกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน โดยนักลงทุนต่างประเทศให้สัญญาว่า จะลงทุนในเวียดนามโดยตรงที่ประมาณ 36,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 และ 15,000 ล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปีนี้ แต่นั่นไม่ได้การันตีว่าจะเกิดขึ้นได้แน่นอน

นอกจากเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองภายในแล้ว เวียดนามยังประสบปัญหาการจัดหาพลังงานไฟฟ้าที่ไม่สม่ำเสมอ โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ค่อยครอบคลุม การทุจริตที่แพร่หลาย การดำเนินนโยบายล่าช้า ค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงกลุ่มแรงงานด้านทักษะเทคโนโลยีขั้นสูงยังคงขาดแคลน

ยิ่งไปกว่านั้น คำมั่นสัญญาต่าง ๆ ที่จะลงทุนในเวียดนาม มีทั้งการลงทุนที่ให้สัญญา และการลงทุนที่จริงจัง โดยนักลงทุนบางรายได้เลี่ยงเวียดนามไปแล้ว ขณะที่มาเลเซียกับฟิลิปปินส์กำลังขึ้นเป็น “จุดดึงดูดการลงทุนใหม่” แทน หลังจากทั้งสองประเทศจัดระเบียบการเมืองของตนเองใหม่

เหงียน ฟู้ จ่อง นักอุดมการณ์ VS โต เลิม นักปฏิบัติ

สำหรับเหงียน ฟู้ จ่องนั้น อาบูซาเล่าว่า เขาเป็น “นักอุดมการณ์มาร์กซิสต์” แบบเข้มข้น ซึ่งอุดมการณ์นี้ได้ฝังรากลึกในความคิดของเขา นอกเหนือจากช่วงเวลา 5 ปีที่ดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาแห่งชาติตั้งแต่ปี 2001-2006 ตลอดอาชีพการงานของจ่องคือ นักทฤษฎีมาร์กซิสต์ โดยเขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มุ่งมั่นต่อมาร์กซิสม์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งนักอุดมการณ์เช่นนี้หายากขึ้นทุกที

- เหงียน ฟู้ จ่อง (เครดิต: xaydungchinhsach) -

เช่นเดียวกับสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีของจีน เหงียน ฟู้ จ่อง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม คัดค้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ หากต้องแลกมาด้วยการสูญเสียอำนาจควบคุมของพรรค เขาจึงทำการกวาดล้างบรรดานักเทคโนแครตที่พยายามเปลี่ยนโฟกัสการตัดสินใจออกไปจากการควบคุมของพรรค 

ขณะที่โต เลิม เขาเคยเป็นตำรวจมืออาชีพ ตำแหน่งของเขาในกระทรวงความมั่นคงสาธารณะคือการรักษาอำนาจของพรรค แต่เขาไม่ใช่นักอุดมการณ์

แม้ว่าโต เลิมจะเป็นผู้นำเผด็จการ แต่เขาก็เป็น “นักปฏิบัติ” ที่มองว่าความชอบธรรมของพรรค ซึ่งหมายถึงความมั่นคงของพรรค จะได้รับการสนับสนุนด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่การติดกับดักรายได้ปานกลาง

โปลิตบูโรชุดปัจจุบัน เน้นกุมอำนาจมากกว่าเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม อาบูซาชี้ถึงจุดที่น่ากังวลว่า คณะกรรมการการเมืองชุดปัจจุบันที่มีสมาชิก 16 คน  รวมถึงสมาชิก 4 คนที่เข้ามาในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 9 ของพรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนพฤษภาคม ขาดประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจอย่างมาก ด้วยสมาชิก 5 คนมาจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ 3 คนมาจากกองทัพ และส่วนหนึ่งเป็นตัวแทนขององค์กรอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม สะท้อนว่าคณะทำงานนี้เน้นที่ “การควบคุมอำนาจ ไม่ใช่ด้านเศรษฐกิจ”

เป็นที่คาดว่า โต เลิมจะดำรงตำแหน่งทั้งประธานาธิบดี และรักษาการเลขาธิการใหญ่พร้อมกัน โดยนี่ไม่ควรถูกตีความว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะหมายถึงการเปลี่ยนพื้นฐานนโยบายต่างประเทศ เพราะความเป็นกลางอย่างขันแข็งของเวียดนาม ซึ่งฮานอยเรียกว่า “การทูตแบบไม้ไผ่” ถูกกำหนดไว้ในนโยบายที่ร่างขึ้นร่วมกัน รวมถึงในสมุดปกขาวว่าด้วยการป้องกันประเทศปี 2019

สิ่งที่สะท้อนความเป็นไผ่ลู่ลมของเวียดนาม คือ ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว เวียดนามได้ต้อนรับประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย

เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีนจะยังคงเป็นนักลงทุนสำคัญ สหรัฐฯ และยุโรปเป็นตลาดส่งออกหลัก ขณะที่เวียดนามยังคงได้รับประโยชน์จากการกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน 

ในขณะเดียวกัน เวียดนามยังคงเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในภาคใต้ของจีน แม้จะเกรงกลัวการรุกรานของจีนในทะเลจีนใต้ แต่ฮานอยก็มีความกังวลร่วมกับปักกิ่งเกี่ยวกับ “ทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างสันติ” ที่สหรัฐพยายามแทรกซึมแนวคิดประชาธิปไตยและค่านิยมตะวันตกเข้าไปในหมู่ประเทศคอมมิวนิสต์ และ “การปฏิวัติสี” ซึ่งเกี่ยวกับการลุกฮือครั้งใหญ่ของประชาชน เพื่อประท้วงรัฐบาล

หลังจากช่วงเวลา 20 เดือนของการต่อสู้ทางการเมืองภายในเวียดนามถึงจุดสูงสุด โต เลิมเห็นว่าตัวเองเป็นคนที่สามารถจัดการความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกัน และผลประโยชน์ที่ตรงกันข้ามเหล่านี้ได้

อ้างอิง: nikkei

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘แสนสิริ’ รุกหนักเมืองท่องเที่ยว เจาะดีมานด์ต่างชาติหนุนตลาดโต

ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากประมาณกา...

ราคาทองวันนี้ 18 ต.ค.67 เปิดตลาด พุ่งนิวไฮ 42,300 บาท

รายงานราคาทองคําวันนี้วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2567ประกาศครั้งที่ 1 (เปิดตลาด) เมื่อเวลา 09.07 น. ปรับต...

ทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด กล้าปลดเซอร์อเล็กซ์ คำถามและการพิสูจน์การบริหารของ INEOS

แต่ปรากฏว่าคนที่มีข่าวว่าถูก “ปลด” ก่อนกลับเป็น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่ง ...

หุ้นไทยวันนี้ 18 ต.ค.67 เปิดตลาด พุ่ง 9.90 จุด จับตางบบจ.

หุ้นไทยวันนี้ ความเคลื่อนไหววันที่ 18 ต.ค.67 ตลาดหุ้นไทย เปิดเช้านี้ ดัชนี SET อยู่ที่ 1,432.02 จุด ...