“เผ่าภูมิ” แจง ส่งกฤษฎีกาตีความดิจิทัลวอลเล็ตข้อมูลต้องครบ ย้ำ ลงทะเบียนไตรมาส 3 เงินถึงมือประชาชนไตรมาส 4 นำเข้า ครม. 30 ก.ค.นี้ ยัน เดินหน้าหวยเกษียณ ติงนิด้าโพลถามเชิงลบ
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 8 กรกฎาคม 2567 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุ บอร์ดธนาคารการเกษตรเพื่อสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยังไม่อนุมัติงบประมาณ 1.7 แสนล้านบาท สำหรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet หมายความว่ารัฐบาลยังไม่ได้ส่งโครงการดิจิทัลวอลเล็ตให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าการนำเงินไปใช้ขัดวัตถุประสงค์ ธ.ก.ส.ใช่หรือไม่
นายเผ่าภูมิ ตอบว่า การส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความต้องส่งเป็นแพ็กเกจ ทุกเงื่อนไขทุกข้อจำกัดต้องเคลียร์ ต้องเสร็จสิ้นหมดแล้ว เช่น ธ.ก.ส. จะต้องเสนอมาว่าจะแจกเงินประชาชนเท่านี้ ด้วยเงื่อนไขแบบนี้ ระบบแบบนี้ สินค้าต้องห้ามมีอะไรบ้าง เงื่อนไขอะไรต่างๆ ต้องครบแล้ว ให้ตีความเป็นก้อน ไม่ใช่เป็นชิ้น แต่ยืนยันวันนี้ทุกอย่างยังอยู่ในไทม์ไลน์ ซึ่งการจะส่งไปต้องรอระยะเวลาที่เหมาะสม พร้อมชี้แจงไทม์ไลน์ของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ดังนี้
- วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตเพื่อสรุปเงื่อนไขทั้งหมด
- วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ชุดใหญ่ที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะมีการประชุม
- วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นายกรัฐมนตรีจะแถลงข่าวสรุปโครงการ รวมถึงขั้นตอนการลงทะเบียนและยืนยันตัวตน
-
วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
...
ผู้สื่อข่าวถามต่อ จะนำเรื่องปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนหรือหลังวันที่ 30 กรกฎาคมนี้ นายเผ่าภูมิ ระบุว่า หลังจากวันที่ 30 กรกฎาคม ส่วนคำถามว่าหากสุดท้ายคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าการนำเงินมาใช้สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตขัดวัตถุประสงค์ ธ.ก.ส. มีแผนสำรองไว้หรือไม่ หรือจะจ่ายเฉพาะวงเงินที่มี นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า มีเสนอแผน 2 แผน 3 เรามีอยู่แล้ว แต่เราจะเดินในแผน 1 ก่อน ซึ่งการลงทะเบียนยืนยันตัวตนจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3 ยืนยันว่าเงินจะถึงมือประชาชนไตรมาส 4 ส่วนจะได้วันใดนั้นขอยังไม่ระบุเพื่อความยืดหยุ่น
ส่วนข้อกังวลของประชาชนหลังมีฝ่ายค้านออกมาท้วงติง อยากให้ประชาชนแยกคิดเป็นเงินก้อนๆ ก้อนเงินจากงบประมาณปี 2567 และ 2568 อยู่ในกระบวนการ ส่วนก้อนที่เกี่ยวกับ ธ.ก.ส. ก็อยู่ในกระบวนการ ในเรื่องของงบประมาณไม่มีปัญหาอะไร ข่าวที่ตีออกไปถือเป็นความเห็นที่เรารับฟัง แต่รัฐบาลก็เดินตามกระบวนการ กรอบระยะเวลา และกฎหมายทุกอย่าง
สำหรับสินค้าอะไรบ้างที่จะไม่เข้าเงื่อนไขนั้น นายเผ่าภูมิ เผยว่า ยกตัวอย่างโทรศัพท์มือถือและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกตัดออก แต่ตอนนี้อยู่ในการพิจารณาของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูว่าสินค้าอะไรทำให้เงินออกไปนอกประเทศ โดยจะสรุปในที่ประชุมคณะอนุกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต วันที่ 10 กรกฎาคมนี้
จากนั้นผู้สื่อขาวถามย้ำถึงเสียงท้วงติงของ น.ส.ศิริกัญญา จะกระทบความเชื่อมั่นโครงการหรือไม่ นายเผ่าภูมิ กล่าวตอบว่า เป็นทุกความเห็นที่เราต้องรับฟัง และนำมาไตร่ตรองว่าสิ่งที่ทำถูกต้องตรงตามหลักการข้อกฎหมายหรือไม่ ถ้าตรงตามกฎหมายเราต้องทำต่อแล้วชี้แจงความเห็นต่าง เมื่อถามว่าหากราคาสินค้าเกิน 10,000 บาท จะสามารถนำเงินในครอบครัว 2 คน มาใช้ร่วมกันได้หรือไม่ นายเผ่าภูมิ ตอบในประเด็นนี้ว่า “รวมกันได้ นี่คือสิ่งที่เราอยากให้เกิดด้วยซ้ำ 5 คนมารวมกันเป็น 50,000 ท่านสามารถเอาไปซื้อรถเข็นมาขายของได้ นี่คือสิ่งที่เราอยากให้เกิด”
เมื่อถามถึงความคิดเห็นกรณีธนาคารโลกรายงานผลประเมินว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะสามารถกระตุ้นจีดีพีได้แค่ 0.5-1.0% นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า นี่คือโครงการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เคยมีการจำกัดรัศมี ไม่เคยมีการทำให้เงินหมุนอยู่หมู่บ้านในชุมชน ฉะนั้น การประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลากหลาย ซึ่งกระทรวงการคลังก็ประเมินจากหน่วยงานต่างๆ ที่เขาประเมิน ตัวเลขการประเมินก็มีความหลากหลายขึ้นอยู่กับเงื่อนไข เช่น สินค้าต้องห้ามที่ยังไม่นิ่ง เราจึงยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจเท่าไร ทั้งนี้ รัฐบาลมีหน้าที่รับฟัง รับข้อห่วงใย และข้อประเมิน และมาพิจารณาร่วมกัน
ทางด้านข้อสังเกตธนาคารโลกที่ระบุว่า ถ้าไม่ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ถึง 0.25-0.5% ต่อปีนั้น นายเผ่าภูมิ บอกว่า มาตรการทางการเงินก็ต้องทำหน้าที่ในส่วนของมาตรการทางการเงินอยู่แล้ว อย่าเอามาผูกกันในมิติต่างๆ ธปท. เคยผูกมาแล้วครั้งหนึ่ง ที่คาดการว่าเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะเกิดปีนี้ และมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปรอ เพราะกลัวเงินเฟ้อ ธปท. เคยทำมาแล้ว เมื่อเอาผูกกันอย่างนี้ ผูกเสร็จแล้วก็มีปัญหา ในที่สุด ธปท. ขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยที่เงินดิจิทัลยังไม่ออก และเงินเฟ้อก็ไม่ได้ขึ้น ทำให้มีปัญหาและเห็นเงินเฟ้อตกขอบในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ในกรณีที่นิด้าโพล เปิดเผยผลสำรวจประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือ หวยเกษียณ นายเผ่าภูมิ ระบุว่า ต้องไปดูหัวข้อโพลสำรวจว่า “จะออมเงิน...ต้องซื้อหวยเกษียณ” ซึ่งตนมองว่าสร้างความคลาดเคลื่อน เกิดทัศนคติในเชิงลบ การตั้งหัวข้อมีความสำคัญต่อการตอบโพลของประชาชน และมีกลุ่มเป้าหมาย 1,300 คนที่มาตัดสิน นโยบายที่จะสร้างผลกระทบต่อประชาชน 20 ล้านคน ดังนั้น ต้องมีการพิจารณา ส่วนเรื่องผลโพล รัฐบาลมีหน้าที่รับฟัง แต่ยืนยันว่าไม่มีผลต่อภาพรวมของการดำเนินโครงการ เพราะรัฐบาลไม่ได้บริหารประเทศผ่านโพล แต่บริหารผ่านหลักการ ความถูกต้อง และผลประโยชน์ของประชาชน โพลมีหน้าที่ช่วยขัดเกลาเงื่อนไขให้ดีขึ้น แต่ยํ้าว่าไม่มีผลกระทบต่อหลักการและการดำเนินการของโครงการ
ผู้สื่อข่าวถามในตอนท้ายว่าจะเดินหน้าต่อโครงการนี้เมื่อใด นายเผ่าภูมิ ตอบว่า เรื่องจ่ออยู่ที่ ครม. รอบรรจุเข้าวาระ ซึ่งปัจจุบันความเห็นยังไม่ครบ ต้องรอความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ เป็นกระบวนการปกติที่ต้องรับฟัง เพราะเกี่ยวกับกระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งตอนแรกคาดว่าจะเข้าภายในพรุ่งนี้ (9 กรกฎาคม 2567) แต่ไม่ทัน จึงขอเป็นสัปดาห์หน้า และหลังจากที่ ครม. อนุมัติหลักการ ก็จะมีมติสั่งให้กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แก้กฎหมายพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติต่อไป.
