เซ็นคำสั่งบิ๊กต่อ กลับ “ผบ.ตร.” ชี้ให้ออกบิ๊กโจ๊ก ทำไม่ถูกต้อง คืนตำแหน่ง (คลิป)

“วิษณุ เครืองาม” แถลงผล ตรวจสอบของคณะกรรมการฯ พบความขัดแย้งร้าวลึกในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จริงทุกระดับ เรื่องส่วนใหญ่เอี่ยว 2 บิ๊ก ตำรวจคู่กรณี เผยเหตุส่ง “บิ๊กต่อ” กลับ ตร.เพราะไม่มีอะไรให้สอบแล้ว บางเรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการของ ป.ป.ช. ส่วนคำสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการไว้ก่อน คณะกรรมการกฤษฎีกาชี้ไม่ถูกต้อง หากผู้ลงนามในคำสั่งมีเจตนากลั่นแกล้งต้องรับผิด เชื่อความขัดแย้งใน ตร.คงจางลงแต่ไม่จบ 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯ ลงนามส่ง “บิ๊กต่อ” กลับคืนตำแหน่งทันทีหลังจบการแถลง

ยังเป็นที่จับตามองของทุกภาคส่วนของสังคมว่าจากนี้ศึกภายในสีกากีจะจบลงด้วยดีหรือไม่ กรณีนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี รับมอบหมายจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้แถลงผลการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.ที่ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยมีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.25 น. วันที่ 20 มิ.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงข้อกังวลของสังคมในเรื่องดังกล่าวว่า หลังจากนี้ศึกสีกากีจะจบหรือไม่ ขอให้ฟังการแถลงในเวลา 11.00 น.ก่อน แต่ถามว่าจะจบเลยหรือไม่ยังไม่แน่ใจ ส่วนที่มีเอกสารที่มีหลุดออกมาก่อนที่จะมีการแถลงความชัดเจนนั้น ตนไม่ทราบและขอไม่ให้ความเห็น ไม่ได้อ่านและไม่ได้ดูด้วย ไม่อยากต้องมาดูว่าเป็นของจริงหรือของปลอม

...

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล

ต่อมาเวลา 11.00 น. นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แถลงความคืบหน้าผลการตรวจสอบเรื่องนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่าคณะกรรมการชุดตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ที่มีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธาน ได้ตั้งอนุกรรมการมาช่วยหลายชุด ในระยะเวลา 4 เดือน สอบปากคำพยานไปกว่า 50 ปาก มีคู่กรณีคือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ผลการสอบสวนได้ข้อสรุป 1. มีความขัดแย้งและความไม่เรียบร้อยใน ตร.จริง ทั้งในระดับสูง กลาง เล็ก ทุกระดับ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากเหตุเดียวกันหรือเหตุอื่น กระทั่งเกิดเป็นคดีความร้องเรียนกันทั้งภายในและภายนอก ตร. 2. เรื่องที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่ละคนมีทีมงานจึงเกิดความขัดแย้งกัน มีคดีสำคัญที่เกี่ยวพัน อาทิ คดีเป้รักผู้การ 140 ล้านบาท คดีกำนันนก คดีมินนี่ คดีพนันออนไลน์ BNK Master และคดีย่อยๆอีกนับสิบคดี กระจายตามสถานีตำรวจและศาล โดยเฉพาะศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ความขัดแย้งบางเรื่องเพิ่งเกิดและบางเรื่องเกิดขึ้นเป็นสิบปีแล้ว 3. เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องดำเนินการส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบไป บางเรื่องส่งให้หน่วยงานกระบวนการยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ ศาล ว่ากันตามปกติ 4. บางเรื่องเกี่ยวกับหน่วยงานนอกกระบวนการยุติธรรม คือ องค์กรอิสระ อาทิ ป.ป.ช. ปปง. ดีเอสไอ ซึ่งคดีต่างๆ มีเจ้าภาพรับผิดชอบแล้วทั้งสิ้น 5.กรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ที่ถูกสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มี.ค.67 แต่เนื่องจากได้รับคำสั่งให้กลับไปปฏิบัติราชการที่ ตร.ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.67 และมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดเพื่อสอบสวนทางวินัยและตามมาด้วยคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนในวันเดียวกัน ส่วนที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ยังไม่ได้กลับไป เมื่อแต่ละเรื่องมีเจ้าภาพรับผิดชอบแล้ว เห็นควรที่จะส่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กลับไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งหน้าที่เดิมเพราะไม่มีอะไรสอบสวนแล้ว หรืออะไรที่ยังไม่เสร็จก็อยู่ในมือ ป.ป.ช. ส่วนคดีจะเป็นอย่างไรให้ดำเนินการตามสายงาน โดยนายกฯจะเป็นผู้ออกคำสั่งให้ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ไปดำรงตำแหน่งเดิม คำสั่งจะมีผลเมื่อนายกฯลงนาม

นายวิษณุกล่าวว่า คณะกรรมการชุดที่มีนายฉัตรชัย เป็นประธานไม่ได้ชี้มูลว่าใครถูกใครผิด แต่รายงานผลการสอบสวนให้เห็นถึงความยุ่งยาก สับสน ระหว่างอำนาจสอบสวนของหลายหน่วยงาน คณะกรรมการจึงเสนอให้กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบให้ชัดว่าอำนาจหน้าที่เป็นของใครบ้าง เพื่อเป็นคู่มือให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในอนาคต ทุกหน่วยจะได้คิดเห็นกันตรงกัน นายกฯจึงแจ้งให้ 2 หน่วยงานไปทำข้อสรุปมา

“สำหรับกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น เป็นการออกคำสั่งตาม ม.132 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2505 ที่เคยทำกันมาในอดีตแต่ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ได้เพิ่มมามาตราหนึ่งว่ากรณีที่สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้วไปกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของบุคคลนั้น คำสั่งให้ออกราชการไว้ก่อนต้องทำโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวน แต่เนื่องจากเมื่อวันที่ 18 เม.ย.67 มีการออกคำสั่งถึง 3 คำสั่งคือ สั่งให้กลับ ตร. สั่งตั้งกรรมการสอบวินัยและสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นปัญหาและมีการหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยคณะกรรมการกฤษฎีกามีมติ 10 ต่อ 0 เห็นว่าการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นกระทบต่อสิทธิประโยชน์และหน้าที่ รวมทั้งสิทธิการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงต้องทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวน แต่เรื่องนี้ไม่ผ่านคณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงมีความเห็นว่าไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรมให้ไปดำเนินการให้ถูกต้อง โดยสถานภาพของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ขณะนี้ถือว่าอยู่ระหว่างการรอนำความกราบบังคมทูลฯ จำเป็นอย่างยิ่งที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ต้องตรวจสอบว่าทำถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ขณะนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไปฟ้องคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.ตร.) ส่วนคำสั่งที่ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนใครจะต้องรับผิดชอบนั้น ถ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือดำเนินการโดยสุจริตก็ไม่มีความผิด แต่ถ้ารู้อยู่แล้วว่า พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติมีการเปลี่ยนแปลงและไปกลั่นแกล้งก็ถือว่ามีความผิด” นายวิษณุกล่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ระหว่างที่กลับไปทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวนให้ถูกต้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังสามารถกลับไปทำหน้าที่ในตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ถูกออกจากราชการไว้ก่อน แต่ยังไม่ได้นำความกราบบังคมทูลฯและเหตุที่ยังไม่ได้นำความกราบบังคมทูลฯเพราะกระบวนการที่ผ่านมายังไม่ถูกต้อง หากกระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังไม่หลุดจากตำแหน่ง ก็มีลุ้นในตำแหน่ง ผบ.ตร.

“นายกฯขอให้ทั้งสองฝ่ายปรองดองกันในงานราชการ เรื่องส่วนตัวที่แต่ละคนมีอะไรและใครทำผิดก็ขอให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย ส่วนการทำงานที่จะบังเกิดกับประชาชน ไม่ให้ประชาชนรู้สึกเสื่อมศรัทธา เสียภาพพจน์และภาพลักษณ์ที่มีเป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาใน ตร. ผมเชื่อว่าสถานการณ์จากนี้จะเบาบางลง เพราะที่ผ่าน 4 เดือน ทั้งสองฝ่ายได้มีการพบปะพูดจากันมากพอสมควร คณะกรรมการเข้าไปไกล่เกลี่ย แต่ไม่ได้เป็นการซูเอี๋ย และไม่ใช่มวยล้มต้มคนดู แต่หากไม่ทำเช่นนั้น ตร.จะไม่มีหัวขบวน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท. ผบ.ตร.จะรับงานไม่ไหว การที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กลับไป ตร.คงจะจบ สงบลงไปได้แต่คงไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่มีอะไรกินใจกันคงเป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะความขัดแย้งบางเรื่องมีมาตั้งแต่ปี 57 และอีกไม่กี่เดือนจะต้องหา ผบ.ตร.คนใหม่ ตอนนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ก็หลุดและไม่เข้ามาเกี่ยวในวงจร” นายวิษณุกล่าว

นอกจากนี้นายวิษณุยังระบุด้วยว่า ในรายงานที่ได้รับมาไม่ได้พูดถึงความคืบหน้าของแต่ละคดีเพราะคณะกรรมการฯไม่ได้ตรวจสอบในเรื่องนี้ เพียงแต่บอกว่าแต่ละคดีอยู่ขั้นตอนไหน ใครเกี่ยวข้องบ้าง หลายเรื่องสื่อไม่รู้ ตนก็ไม่รู้ อาทิ ทำร้ายตำรวจด้วยกันเอง ยืนยันการส่งกลับ ตร.ไม่ถือเป็นการล้างมลทิน แต่ละเรื่องต้องเดินหน้าต่อตามระเบียบ ยืนยันไม่ได้เป็นการฟอกขาว คดีที่อยู่ใน ป.ป.ช.ก็ต้องไปสู้กันต่อไป

อีกด้าน ที่โรงแรมบางกอกมิดทาวน์ เวลา 13.00 น. ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ แถลงข่าวกรณีการกลับมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และดีลลับติดต่อเข้ามาเสนอช่วยให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กลับตําแหน่ง ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกที่มี ผบ.ตร.เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ไม่แน่ใจหลังจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่คนไหนกล้าดำเนินคดีต่อ ตนเคยได้รับการติดต่อจากนักการเมืองระดับใหญ่ที่ตนนับถือมาเสนอ “ดีลลับ” ให้หยุดดำเนินคดี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เพื่อแลกกับการให้ทั้งคู่กลับมาดำรงแหน่งเดิม แต่ตนได้ปฏิเสธดีลนี้แล้ว ทั้งนี้นายษิทราได้ยกมือไหว้พร้อมกล่าวว่า ขอโทษประชาชนที่ทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ แต่ยืนยันว่าจะดำเนินการต่อ โดยจะไปตามเรื่องทั้งหมดที่เคยร้องดำเนินคดีไป

ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศฯ ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภาถึงเรื่องนี้ว่า เรื่องนี้เป็นข้อกล่าวหาร้ายแรงในแง่ที่มีตำรวจระดับสูงรับเงินจากเว็บพนัน สังคมรอคอยคำตอบ ไม่ใช่เด็กทะเลาะกันแล้วมาจับแยกแบบนั้น ถือเป็นการจัดการที่ไม่มีวุฒิภาวะของรัฐบาล ทำลายความเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม มีประชาชนไม่น้อยคิดว่ามีการซูเอี๋ยกัน ตำรวจอยู่ภายใต้นายกฯ หากมีปัญหาก็กระทบถึงสถานะนายกฯ ซ้ำยังไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล

เย็นวันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.กลับไปปฏิบัติราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงบ่ายและส่งไปที่ ตร.แล้ว มีสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้จัดการ จากนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน ตร.

มีรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้เว็บไซต์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ถอดรูป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากทำเนียบผู้บังคับบัญชาในระดับรอง ผบ.ตร. แต่จากการตรวจสอบล่าสุดได้มีการนำรูปและชื่อกลับเข้าไปอยู่ในทำเนียบผู้บังคับบัญชาตามเดิมแล้ว

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘อีลอน มัสก์’ หนุน ‘ทรัมป์’ พนักงานบริจาคให้‘แฮร์ริส’

ข้อมูลจากโอเพนซีเคร็ตส์ องค์กรไม่หวังผลกำไรไม่แบ่งฝักฝ่าย ผู้ติดตามข้อมูลการบริจาคเงินหาเสียงและการล...

สหภาพแรงงาน Teamsters ไม่หนุน'ทรัมป์-แฮร์ริส'

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า สหภาพแรงงานทีมสเตอร์สมีสมาชิกกว่า 1.3 ล้านคน เป็นตัวแทนของกลุ่มคนขับรถบร...

ครึ่งแรกปี67จีนครองแชมป์ซื้อคอนโดเมียนมาซิวเบอร์สองแซงรัสเซีย2ปีซ้อน

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เป...

อสังหาฯ แบกสต็อกอ่วม 1.57 ล้านล้าน เอ็นพีแอลพุ่ง ‘ทุกตลาดติดลบหนัก’

นายกสมาคมอาหารชุด หวังเร่งแก้นอมินีต่างชาติในตลาดบ้านมูลค่า 1 ล้านล้านบาท จัดเก็บภาษี หวังแบงก์ชาติล...