ศาลสั่งคุก 1 เดือน แต่รอลงอาญา 4 แกนนำม็อบราษฎรคดีชุมนุมหน้า ตร.ปี 63

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2567 ที่ห้องพิจารณาคดี 505 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ยื่นฟ้อง นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ "ไมค์" นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" และนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ "ครูใหญ่" 4 แกนนำม็อบราษฎร เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการ, ร่วมกันชุมนุมใดๆ โดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ , พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะตลอดจนผู้ชุมนุมไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะฯ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 385

ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร โดยวาง หรือทอดทิ้งสิ่งของ หรือโดยกระทำด้วยประการอื่นใด, พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 19 ร่วมกันตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดๆ บนถนน, พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 12 ร่วมกันขูด กระเทาะ ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความ ภาพ หรือรูปรอยใดๆ บนถนน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่, ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน,ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ร่วมกันทําให้เสียทรัพย์ จากการชุมนุมม็อบ #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ บริเวณสี่แยกราชประสงค์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2563

โดยในวันนี้จำเลยทุกคนเดินทางมาศาล มีการเบิกตัวนายอานนท์ จำเลยที่ 1 จากเรือนจำ

ศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่าข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ , พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง นั้น จำเลยที่1, 2 เคยถูกพนักงานอัยการ ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงปทุมวันและศาลมีคำพิพากษาแล้ว เหตุการณ์เป็นช่วงวันเวลาเดียวกัน มีเจตนาต่อเนื่องไม่ขาดตอน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ

ในส่วนจำเลยที่ 3, 4 ในข้อหาร่วมกันจัดให้มีการชุมนุมผู้กระทำจะต้องประสงค์ให้มีการจัดการชุมนุมแต่พยานโจทก์ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 3, 4 เป็นคนเชิญชวนก่อให้เกิดการชุมนุมรู้แต่เพียงว่า เพจเยาวชนปลดแอกเป็นผู้โพสต์เชิญชวนและฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่สามที่สี่เกี่ยวข้องกับเพจโดนชนกดแอดการที่จำเลยที่ 3, 4 ปราศรัยร่วมในฐานะผู้ชุมนุมพยานหลักฐานไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ร่วมจัดการชุมนุมซึ่งจะต้องเป็นผู้ขออนุญาตจัดการชุมนุม จึงไม่มีความผิดตามข้อหานี้และไม่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับ เรื่องโรคติดต่อตามข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ส่วนข้อหา พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะตลอดจนผู้ชุมนุมไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะฯ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 385 , ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร โดยวาง หรือทอดทิ้งสิ่งของ หรือโดยกระทำด้วยประการอื่นใด,พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 19 ร่วมกันตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดๆ บนถนน, พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 12 ร่วมกันขูด กระเทาะ ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความ ภาพ หรือรูปรอยใดๆ บนถนน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่,ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ร่วมกันทําให้เสียทรัพย์ ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด

เนื่องจากเห็นว่าจำเลยไม่ใช่เป็นผู้สั่งการให้มีการทำร้ายเจ้าพนักงาน แม้มีการปราศรัยให้มีการปาสีแต่ก็ไม่ได้เฉพาะเจาะจงให้เกิดความเสียหายแก่กล้องวงจรปิด อีกทั้งยังได้ความว่าจำเลยขอให้ยุติการกระทำซึ่งการปาสีดังกล่าวใช้เวลาเพียง 20 นาที และได้ความจากพยานเบิกความสอดคล้องกันว่าการชุมนุมดังกล่าวมีผู้ชุมนุมมากกว่า 10,000 คน ตำรวจเลยต้องปิดเส้นทางการจราจรเพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยการกีดขวางทางสาธารณะ จึงไม่ใช่ผลโดยตรงและข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 4 เกี่ยวข้องในการมีคำสั่งให้ปิดการจราจรฯ โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ขูดเขียน พ่นสี ในส่วนข้อหาอื่นๆ พยานหลักฐานโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้

เเต่ในส่วนความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการ ที่จำเลยอ้างว่าที่มีการปาสีใส่สำนักงานตำรวจเเห่งชาติ เพราะมีการฉีดน้ำสลายการชุมนุมเมื่อ 1 วันก่อน จึงมาชุมนุมปาสีที่สำนักงานตำรวจเเห่งชาตินั้น ศาลเห็นว่าที่จำเลยว่าเป็นการโต้ตอบการกระทำนั้นเป็นเจตนาที่ขาดตอนย่อมถือว่าเป็นเจตนาของจำเลยเอง การกระทำของจำเลยทั้ง 4 เป็นกระทำผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคสาม ซึ่งเป็นการมั่วสุมให้เกิดความวุ่นวายสั่งจำคุกจำเลยที่ 1, 2 เเละ 4 คนละ 1 เดือน ปรับ 20,000 บาท ในส่วนของจำเลยที่ 4 ซึ่งเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนให้บวกโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 เดือนเศษ และปรับ 26,000 บาท แต่เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาที่จะบุกเข้าไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการชุมนุมสาธารณะปราศจากอาวุธมีการปาสีเพียง 20 นาที ก็ยุติการชุมนุม เป็นการเเสดงออกทางสัญลักษณ์ จึงให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1, 2 เเละ 4 ในส่วนจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่อาจรอการลงโทษได้ จึงให้ยกโทษจำคุก

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ระเบิด ‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่าที่กลับมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ “โทรศัพท์มือถือ” จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโล...

เปิดเหตุผล 'ไปรษณีย์ไทย' ทำไมโดดร่วมสมรภูมิ 'เวอร์ชวลแบงก์'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.) เป็นวันปิดรับคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแ...

แกะกล่อง 'iPhone 16' และ 'iPhone 16 Pro Max' ส่องจุดเด่น มีลูกเล่นอะไรใหม่

แกะกล่องเป็นกลุ่มแรกๆ กับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max ที่วันนี้ KT Review จะพาไปดูว่าหนึ่งรุ่นเร...

‘ไมโครซอฟท์ - กูเกิล’ มอง ‘Digital Trust’ วาระท้าทาย ชีวิตบนโลกดิจิทัล

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน “60 Years OF EXCELLENCE” ฉลองครบรอบ 60 ปี เชิญผู้นำจา...