เพื่อไทยเหน็บก้าวไกลเขี้ยว เกม “สภาล่ม” นายกฯ ชี้เศรษฐกิจมีแสงสว่าง

นายกฯการันตีรัฐบาลมั่นคง เสียงพรรคร่วมฯ 314 เสียงแน่นปึ้ก ไม่ต้องดึงใครมาเสริมทัพ ยกคณะบินลัดฟ้าร่วมเวทีสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น แต่สภาฯงามหน้าเปิดสมัยประชุมวันแรกล่มไม่เป็นท่า “ครูมานิตย์” โอดเจอ “ก้าวไกล” เอาคืน สส.รัฐบาลไม่โหวตเลื่อนร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมให้ รับ ก.ก.เขี้ยวเล็บงอก ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป ชงเรื่องเข้าวิปรัฐบาลหาทางล้อมคอก “แพทองธาร” สั่งกำชับ สส.ลูกพรรคให้ความสำคัญ เข้าร่วมประชุมห้ามทำสภาฯล่ม “โรม” ย้อนคอหอย พท.ต้องรับผิดชอบ สั่งสอนบทเรียนอยากเป็น สส. ชาวบ้านเลือกมาแล้วต้องอยู่ทำหน้าที่ “พีระพันธุ์” จ่อชง ครม.ของบฯกลาง 1.9 พันล้านบาท ตรึงค่าไฟกลุ่มเปราะบาง 17 ล้านครัวเรือน ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยจ่าย 3.99 บาทต่อหน่วย เดินหน้าหาช่องกดค่าไฟงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.67 เหลือ 4.10 บาทต่อหน่วย

จากกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ต้องออกโรงตอกย้ำยืนยันถึงเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทย ที่มีอยู่ 314 เสียง ถือว่าเพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้อง ดึงพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มาร่วมรัฐบาลในขณะนี้ ล่าสุด ก่อนนายกฯ เดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอด อาเซียนญี่ปุ่นสมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียนญี่ปุ่น ที่กรุงโตเกียว ประเทศ ญี่ปุ่น นายกฯ ได้ย้ำชัดเจนอีกครั้ง ระบุเสียงของรัฐบาล มีมากพอแล้ว ไม่มีแนวคิดที่จะดึงใครเข้ามาเสริมทัพอีก

...

นายกฯบินร่วมเวทีสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 ธ.ค. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กทม. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เดินทางเข้าร่วม การประชุมสุดยอดอาเซียนญี่ปุ่นสมัยพิเศษ เพื่อฉลอง วาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียนญี่ปุ่น ที่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 14-18 ธ.ค.มีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว. ต่างประเทศ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ร่วมคณะ กำหนดการสำคัญ อาทิ กล่าวปาฐกถาในงาน Thailand-Japan Investment Forum พบหารือ 8 บริษัทเอกชนรายใหญ่ของญี่ปุ่น เช่น บริษัท Toyota Motor Corporation บริษัท Honda Motor จำกัด บริษัท Suzuki บริษัท Nissan บริษัท Mitsubishi บริษัท Mitsui บริษัท Isuzu และบริษัท Kubota พบหารือทวิภาคีนายกฯ ญี่ปุ่น ร่วมหารือโครงการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างทะเล อ่าวไทยและอันดามัน และเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น ที่พระราชวังอิมพีเรียล ก่อนเดินทางกลับช่วงดึกวันที่ 18 ธ.ค.

เชื่อ ศก.มีแสงสว่าง

นายกฯ ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางว่า เป็นการเยือนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และจะมีการพบปะกับฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา เจ้าชายอับดุล มาทีน มกุฎราชกุมารลำดับที่ 4 ของราชวงศ์บรูไนที่จะอภิเษก สมรสในเดือนหน้า การไปล่วงหน้าก่อน 2 วัน เพื่อไป เจรจาการค้า ส่วนมากเป็นเรื่องยานยนต์และพยายามให้บริษัทยานยนต์ญี่ปุ่นมาพบมากขึ้น ครั้งนี้ได้ชักชวน นักธุรกิจไทยไปด้วย เพื่อพูดคุยการลงทุน แต่เขาเดินทาง ไปเอง เช่น นายพรวุฒิ สารสิน ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จะไปช่วยเจรจาให้และนายกลินท์ สารสิน ประธานบริษัทโตโยต้า และยังมีอีกหลายท่าน เป็นที่ทราบกันดีว่าญี่ปุ่นมาลงทุนสูงสุดในไทยตลอด 50 ปี ฉะนั้นเราพยายามทำให้ความสัมพันธ์นี้เข้มแข็งมากขึ้นในเรื่องการลงทุนของ ทั้งสองฝ่าย และเราได้ประกาศจะให้วีซ่าฟรีกับ นักธุรกิจญี่ปุ่น จะทำให้ทั้งสองทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น เมื่อถามว่า จะทำให้เกิดความมั่นใจทางเศรษฐกิจและมีแสงสว่างมากขึ้นใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า แสงสว่างมีอยู่แล้ว แต่เรื่องความหนักใจการแบกความหวัง เรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชน 68 ล้านคน เป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะต้องทำต่อไป

เผยเชิญ “บิ๊กก้อง” คุยคดีคั่งค้าง

นายเศรษฐาเปิดเผยถึงกรณีเชิญ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. มาพบว่า เรียนเชิญ ผบช.ก.มาพบ เพราะมีเรื่องคุยค้างไว้หลายเรื่อง เรื่องคดีต่างๆ ที่โอนให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปดูแล ต้องให้ ผบช.ก. มาตรวจสอบหรือทำงานร่วมกัน ต่อไป ยังมีคดีที่ค้างอยู่เยอะ และมาครั้งนี้เพื่อให้ มารายงานความคืบหน้าด้วย หรือว่าจะมีความหนักใจ อะไรด้วยหรือเปล่า อยากมาฟัง คุยกับท่านก่อนที่จะ เดินทางไปต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.10 น. พล.ต.ท.จิรภพเดินทางมารอพบนายกฯ โดยเปิดเผยกับผู้สื่อข่าว สั้นๆว่ามารอรายงานในหลายเรื่อง ก่อนนายกฯ จะไปปฏิบัติภารกิจที่ญี่ปุ่น โดยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด

ย้ำไม่เสริมทัพ 314 เสียง รบ.ยังปึ้ก

เมื่อถามว่าช่วงที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจ 4-5 วัน มีข้อกังวลหรือฝากอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า จริงๆนั่งรถมาก็ฝากมาตลอด และส่งข้อความถึงทุกคน ถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย และคณะทำงานที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ทั้งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ฝากเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินในระบบและนอกระบบ เมื่อถามว่าการเมืองเป็นห่วงอะไรหรือไม่ นายกฯตอบว่า “ไม่มีครับ 314 เสียง” เมื่อถามว่ายังเหนียวแน่นดี ไม่มีอะไรใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า “ไม่มีครับ ไม่มี” เมื่อถามย้ำว่าไม่ต้องเพิ่มเติมใช่ไหม นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่มีครับ เราพูดจากันด้วยดี ทุกๆท่านช่วยทำงานกันอย่างเต็มที่ ทุกท่านทราบดีว่าความคาดหวังของพี่น้องประชาชนคืออะไร เรามีปัญหาเยอะในตอนนี้ ไม่มีเวลามาเล่นการเมืองหรอก” เมื่อถามว่าจำเป็นต้องเสริมทัพเพิ่มหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวย้ำว่า “314 เสียงครับ” เมื่อถามว่าสภาฯล่มตั้งแต่วันแรก ได้กำชับ สส.ในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) เข้าใจว่าทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองดี คงไม่ไปก้าวก่าย เพราะอยู่ฝ่ายบริหาร

ถึงโตเกียวฉลองสัมพันธ์ญี่ปุ่น 50 ปี

กระทั่งเวลา 17.10 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุง โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง) นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว (ฮานาดะ) เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นสมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 16-18 ธ.ค. โดยมีนายโคมูระ มาซาฮิโร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น นางปรางทิพย์ กาญจนหัตถกิจ อุปทูตรักษาการชั่วคราวสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว และข้าราชการสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ร่วมให้การต้อนรับด้วย

“อุ๊งอิ๊ง” ดันซอฟต์พาวเวอร์บุก ตปท.

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมสัมมนา “ติดปีกทางการค้าให้ผู้ประกอบการไทยด้วย Soft Power x ทรัพย์สินทางปัญญา” ว่า จากการอธิบายไปหลายเวทีเชื่อว่าคนไทยเข้าใจคำว่าซอฟต์พาวเวอร์มากขึ้น แต่นิยามซอฟต์พาวเวอร์คือสิ่งสำคัญน้อยสุดในตอนนี้ สำคัญมากกว่าคือรัฐบาลจะมุ่งหน้าไปทางไหน กำลังทำอะไรอยู่ กรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติมีนโยบายหลายอย่างจะผลักดันไปสู่ต่างประเทศ ช่วงแรกเป็นเรื่องอาหาร กีฬาที่มีข้อได้เปรียบจากวัฒนธรรมบางอย่างของประเทศไทยแข็งแรงอยู่แล้ว แต่ต้องพัฒนาทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ สิ่งที่ขาดอยู่คือปลายน้ำและนโยบายต่างประเทศที่จะผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้ทุกคนในโลกมองเห็น เรากำลังสร้างแบรนดิ้งให้ประเทศไทย ส่วนแนวคิดชูหมูกระทะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ แต่ล่าสุดผู้ว่าฯ กทม.มีแนวคิดควบคุมร้านหมูกระทะปิ้งย่าง ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 คงต้องปรับให้เข้าสถานการณ์ หมูกระทะหรือปิ้งย่างในต่างประเทศ เช่น เกาหลี มีเครื่องดูดควันจริงจังเอาควันออกได้ เรามีหลายเมนูนำเสนอให้ต่างชาติรู้จักได้ ถ้ามีเมนูอร่อยผสมผสานวัฒนธรรมความเป็นไทยเข้าไป น่าจะผลักดันได้ดี ทุกอย่างไม่ใช่แต่เรื่องอาหารต้องดูสถานการณ์ด้วย ไม่ใช่พูดไปตอนนั้น แล้วตอนนี้จะดึงเรื่อง เพราะมีการแอนตี้ ใจเย็นนิดหนึ่ง มีหลายเรื่องที่ต้องโปรโมต

สั่งกำชับ สส.ห้ามทำสภาฯล่ม

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีเหตุการณ์ที่ประชุมสภาฯล่ม ตั้งแต่เปิดสมัยประชุมเป็นวันแรกเมื่อช่วงค่ำวันที่ 13 ธ.ค. น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. จะกำชับ สส.เรื่องนี้แน่นอน การประชุมสภาฯมีความสำคัญทุกครั้ง เพราะฉะนั้นการที่ไปร่วมคือการให้ความสำคัญ ทุกคนที่เป็น สส.ที่ถูกเลือกจากประชาชนต้องทราบอยู่แล้วว่าการประชุมสภาฯมีความสำคัญ

งามไส้สภาฯประชุมวันแรกล่มสนิท

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ก่อนหน้านี้ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่เป็นการเปิดประชุมครั้งแรก ในสมัยประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 ปี 2566 เกิดปัญหาสภาฯล่มในช่วงหัวค่ำ ระหว่างการลงมติรับหลักการร่างข้อบังคับการประชุมสภาฯที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เสนอ โดย สส.ฝ่ายรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับเนื้อหา เช่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเปิดเผยรายงานการประชุม การให้ประชาชนไม่น้อยกว่า 5,000 คน เข้าชื่อเสนอญัตติการกำหนดให้ฝ่ายค้านเป็นประธาน กมธ.ในคณะที่เกี่ยวกับการตรวจสอบ แม้ สส. พรรค ก.ก.พยายามประนีประนอม ขอให้ที่ประชุมส่งร่างไปให้ กมธ.กิจการสภาฯพิจารณาแทนการลงมติรับหรือไม่รับหลักการ แต่ที่ประชุมไม่เห็นด้วย กระทั่งเข้าสู่ขั้นตอนลงมติจะรับหลักการร่างดังกล่าวหรือไม่ มี สส.แสดงตนเป็นองค์ประชุมครบถ้วน 332 คน แต่กลับมี สส.ลงมติแค่ 228 คนเท่านั้น โดยเห็นชอบ 1 เสียง ไม่เห็นชอบ 223 เสียง ไม่ลงคะแนน 4 เสียง ถือว่าไม่ครบองค์ประชุม ทำให้นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯประธานที่ประชุมสั่งปิดประชุม ถือเป็นเหตุการณ์องค์ประชุมสภาฯล่มครั้งที่ 2 ต่อจากครั้งแรก เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2566

“หมออ๋อง” แจงยิบกฎเช็กองค์ประชุม

ต่อมาเวลา 10.00 น. วันที่ 14 ธ.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯ มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระนายปดิพัทธ์ได้ชี้แจงถึงองค์ประชุมสภาฯล่ม เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 13 ธ.ค. ให้ สส.เข้าใจอย่างละเอียด หยิบยกทั้งรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรค 1 คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยเรื่ององค์ประชุมและการลงมติในสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สรุปเป็นแนวทางการตรวจสอบองค์ประชุมในทุกกระบวนการ ทั้งการตรวจสอบองค์ประชุมก่อนลงมติและตอนลงมติ ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ ให้ถือเป็นแนวทางการปฏิบัติของสภาชุดที่ 26 โดยจะแจ้งเรื่องไปยังวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลจะได้มีความชัดเจนเรื่ององค์ประชุมตลอดสมัยประชุม

ตีตกญัตติ “ไอติม” แก้ข้อบังคับสภาฯ

ต่อมาเวลา 13.30 น. เข้าสู่วาระการพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่เสนอโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โดยเป็นการลงมติรับหรือไม่รับหลักการ ที่ค้างอยู่ในวาระการพิจารณา ภายหลังเกิดเหตุสภาฯล่มเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ จนต้องปิดประชุมไป โดยการลงมติในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาเรื่ององค์ประชุมไม่ครบ ที่ประชุมลงมติไม่รับหลักการร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนน 233 ต่อ 158 เสียง ถือว่าร่างข้อบังคับดังกล่าวต้องตกไป

“โรม” ย้อนศรเพื่อไทยต้องรับผิดชอบ

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. กล่าวว่า สภาฯล่ม เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ต้องดูคำชี้แจงพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ในอดีตเคยพูดว่า องค์ประชุมเป็นหน้าที่รัฐบาล วันนี้เป็นรัฐบาลพรรคพท.ใช่หรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่รัฐบาลแล้วหรือ ฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบว่า สส.รัฐบาลมาทำหน้าที่จำนวนเท่าใด ครบองค์ประชุมหรือไม่ วันแรกการเปิดประชุมสภาฯเปรียบเป็นวันแรกของการเปิดเทอมที่นักเรียนต้องมาเรียนให้ครบ แต่กลับมาไม่ถึง 250 คน แปลว่าอะไร พรรค ก.ก.ไม่ได้ตั้งใจจะให้ล่ม ตั้งใจว่าหากเสียงรัฐบาลถึง 250 เสียง ตั้งใจจะเติมให้ด้วย แต่เราต้องการให้ประชาชนเห็นว่า ที่อยากมาเป็น สส.สุดท้ายอยู่ทำหน้าที่หรือไม่

พท.รับก้าวไกลแก้เผ็ดเขี้ยวขึ้นเยอะ

นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคพท. ในฐานะรองประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ดูแล้วเป็นการแก้เผ็ดของพรรค ก.ก.ที่คงไม่พอใจ สส.รัฐบาลไม่ลงมติโหวตเลื่อนร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมให้ในช่วงเช้าวันที่ 13 ธ.ค. มาเอาคืนในการลงมติร่างข้อบังคับการประชุมสภาฯทั้งที่ตอนนับองค์ประชุมช่วยแสดงตนให้ แต่ไม่ยอมกดคะแนนตอนลงมติ ถือเป็นบทเรียนที่รัฐบาลต้องไปแก้ไข การประชุมวิปรัฐบาลวันที่ 19 ธ.ค.จะนำเรื่องสภาล่มหารือเพื่อวางมาตรการแก้ปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นมาอีก อยากให้มองวิกฤติเป็นโอกาส เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่า พรรค ก.ก.ส่งสัญญาณเตือนมาแล้ว ต้องเตรียมรับมือหลังจากนี้ให้ดี ตอนนี้พรรคก้าวไกลมีเขี้ยวเล็บมากขึ้น ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป เขาเรียนรู้การใช้วิชาการเมืองแล้ว ไม่ได้มีแค่หลักวิชาการอย่างเดียว เป็นการเรียนรู้วิชาการเมืองมาจากแกนนำพรรค พท.ที่ใช้ในสมัยที่แล้ว ดังนั้นรัฐบาลต้องระวังตัวมากขึ้น

“พีระพันธุ์” ขอ 1.9 พันล้านกดค่าไฟ

อีกเรื่อง เมื่อเวลา 14.15 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้ากระทรวงพลังงานจะนำมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เข้าสู่ที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังนายกฯได้เป็นประธานการประชุมกพช.เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. โดยค่าไฟฟ้างวดใหม่เดือน ม.ค.-เม.ย.67 ที่ประชุมรับทราบตัวเลข จะพยายามให้ไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย ส่วนตัวเลขที่นายกฯกล่าวถึงคือ 4.10 บาทต่อหน่วย เป็นตัวเลขที่อยู่ระหว่างการทำงาน หวังว่าจะทำให้ตัวเลขค่าไฟฟ้าลดลงมามากที่สุด สำหรับครัวเรือนเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน จะให้ใช้ไฟฟ้าราคาเดิมคือ 3.99 บาทต่อหน่วย ครอบคลุม 17 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ กระทรวงพลังงานจะเสนอของบฯกลาง รายสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็น วงเงินประมาณ 1.9 พันล้านบาทมาจ่ายอุดหนุน ถือเป็นงบฯไม่มากนัก จะพยายามทำรายละเอียดทั้งหมดให้แล้วเสร็จ เพื่อเสนอเข้าที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า

ขอบคุณนายกฯยืนยันจุดยืนช่วย ปชช.

เมื่อถามว่ากรณีข่าวที่นายกฯบอกว่ามีสายโทรศัพท์ที่โทร.เข้ามาล็อบบี้เกี่ยวกับค่าไฟ นายพีระพันธุ์ตอบว่า นายกฯเปรยขึ้นมาเฉยๆ ต้องขอบคุณนายกฯที่ยืนยันจุดยืนเป็นหลัก เรื่องนี้และหลายฝ่ายร่วมมือกัน กระทรวงพลังงานฝ่ายเดียวไม่พอ เมื่อถามว่าได้พูดคุยหารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) หรือไม่ เพราะว่า กฟผ.ต้องแบกรับภาระหนี้อยู่ 1.3 แสนล้านบาท นายพีระพันธุ์กล่าวว่า หนี้สินส่วนนี้มีมานานแล้ว ตนพยายามทำให้ตอนนี้คือการตั้งคณะกรรมการมาดูแลและช่วยแก้ไขปัญหา ไปช่วยดูแลค่าใช้จ่าย รายได้ต่างๆที่มีจะบริหารอย่างไร เมื่อถามว่าจะได้ค่าไฟฟ้าที่ 4.10 บาทต่อหน่วยหรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า พยายามจะทำให้ต่ำลงมา แต่ใจจริงแล้วอยากให้ต่ำกว่านี้ แต่ว่าไม่ใช่เฉพาะเรื่องของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) กฟผ. กระทรวงพลังงานหรือเรื่องเชื้อเพลิงเท่านั้น มีเรื่องที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก มีการเสนอให้ปรับโครงสร้าง ดูแล้วว่าแค่ปรับโครงสร้างไม่พอ ต้องรื้อทั้งระบบ ทำงานมา 3 เดือนได้มาขนาดนี้ ถือว่าดีมากแล้ว ส่วนที่เหลือพยายามทำงานอยู่

ศาล รธน.ไต่สวนพยานคดีหุ้น “เสี่ยโอ๋”

เมื่อเวลา 09.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมปรึกษาคดีที่ สส.ฝ่ายค้าน 54 คน เข้าชื่อกันยื่นขอให้ประธานสภาฯส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ จากการยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ที่ศาลรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยและมีคำสั่งให้นายศักดิ์สยามหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.66 โดยศาลได้เริ่มไต่สวนพยานบุคคล 6 ปาก ให้เฉพาะคู่กรณีและผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟังการไต่สวน นายศักดิ์สยามมาร่วมไต่สวนด้วยตนเอง ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ส่วนนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) หนึ่งในผู้ร้องเดินทางมาด้วย

“ปกรณ์วุฒิ” ชี้มีจุดพิรุธน่าสงสัยอื้อ

นายปกรณ์วุฒิให้สัมภาษณ์ว่ามีการสืบพยานแบบปากต่อปาก 6 ปาก ผ่านไปแล้วครึ่งทางเหลืออีก 3 ปาก ศาลจะถามคำถามแล้วให้ตอบเลย ถามหลายประเด็นเรื่องกิจกรรมของทั้ง 2 บริษัทที่เกี่ยวข้องว่ากิจกรรมเกิดอย่างไรบ้าง เกิดสัญญากู้ยืมกันจริงหรือไม่ หรือยืมกันปากเปล่า มีเงินเข้าออกจริงหรือไม่ พูดตามตรงทางฝั่งผู้ถูกร้องยื่นชี้แจงมาแล้วรอบหนึ่ง อ่านดูคร่าวๆยังมีบางจุดที่มีพิรุธ ไม่สามารถฟันธงได้ว่าสรุปแล้วใช้นอมินีหรือมีการโอนหุ้นกันจริงๆ แต่มีพฤติการณ์น่าสงสัยหลายอย่างและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและนิติบุคคลต่างๆ ค่อนข้างจะพัวพัน น่าสงสัยพอสมควร จากการไต่สวนครั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนมากสักเท่าไหร่ คงอาจต้องรอพยานอีก 3 ปากที่เหลือ

“ศักดิ์สยาม” ยังขำออกลุ้นตัดสิน 17 ม.ค.

นายศักดิ์สยามให้สัมภาษณ์ว่า ขอบคุณศาลที่ให้โอกาสชี้แจง แต่รายละเอียดทั้งหมดต้องรอคำวินิจฉัย เมื่อถามว่าฟังแล้วหนักใจอะไรหรือไม่ นายศักดิ์สยามกล่าวว่า รอคำวินิจฉัยดูก่อน เราได้แจ้งข้อเท็จจริงไปแล้ว ถือว่าชี้แจงได้ครบถ้วน เมื่อถาม อีกว่ายื่นพยานหลักฐานครบถ้วนหรือไม่ นายศักดิ์สยามพยักหน้าตอบรับ เมื่อถามต่อว่าฟังการไต่สวนแล้วไม่หนักใจอะไรใช่หรือไม่ นายศักดิ์สยามปฏิเสธที่จะตอบได้แต่หัวเราะแล้วกลับไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การไต่สวนพยานของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมงรวมพยาน 6 ปาก กระทั่งเวลา 15.13 น. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าวหลังการไต่สวนพยานเสร็จว่า ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยานรวม 6 ปาก คือนางวราภรณ์ เทศเซ็น นายศักดิ์สยาม นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ น.ส.วรางสิริ ระกิติ น.ส.ฐิติมา เกลาพิมาย และ น.ส.อัญชลี ปรุดรัมย์ โดยตอบข้อซักถามของศาลและของคู่กรณี คดีเป็นอันเสร็จการไต่สวนและศาลนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 17 ม.ค.67 เวลา 14.00 น.

“อิ๊ง” ยันระเบียบราชทัณฑ์ไม่ได้เอื้อพ่อ

ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีกรมราชทัณฑ์ออกระเบียบใหม่เรื่องการจำคุกนอกเรือนจำ ที่ถูกมองเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า ระเบียบดังกล่าวออกมารองรับกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ปี 2560 คิดว่ากฎระเบียบนี้ไม่ได้ออกมาเพื่อใคร ยังไม่ทราบว่าคุณพ่อเข้าข่ายหรือไม่ ความรู้สึกส่วนตัวหากพ่อได้ออกมาเร็วก็ยิ่งดี เป็นความรู้สึกของลูกแน่นอนอยู่แล้ว ใครอยากให้เป็นแบบนี้ แต่ขอให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมกรมราชทัณฑ์และคุณหมอ เพราะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือให้กำลังใจกันเองในครอบครัว คุณพ่อสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติมากมาย ขอให้ท่านมีกำลังใจเมื่อออกมาอย่างแข็งแรง สามารถผลักดันนโยบายต่างๆในแง่เป็นที่ปรึกษาทั้งของตนเอง และใครก็ตามที่ยังเคารพรักอยู่ ให้ใช้ความรู้ความสามารถคุณพ่อให้ประเทศไปอยู่ในจุดที่ดีขึ้นไม่มีวันถอยหลัง นี่คือสิ่งที่ตั้งใจและอยากให้เป็น

รพ.โบ้ยราชทัณฑ์แจงปม “ทักษิณ”

ที่โรงพยาบาลตำรวจ พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษก รพ.ตำรวจ กล่าวถึงอาการของ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ที่พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจใกล้ครบ 120 วันว่า เป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่สามารถเปิดเผยหรือให้ข้อมูลกับบุคคลอื่นไม่ใช่ญาติคนในครอบครัว หรือเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ ส่วนกรณีกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ยื่นหนังสือเรียกร้องให้รักษาจรรยาบรรณแพทย์และความยุติธรรมทาง รพ.ตำรวจรับไว้และทำรายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน ยืนยันว่าคนไข้ที่ทางราชทัณฑ์ส่งมา รพ.ตำรวจ มีระบบรักษาตามมาตรฐานดูแลผู้ป่วยทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยทั่วไปหากคนไข้หายดีหรือสามารถกลับไปเรือนจำได้ แพทย์และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบไม่ใช่แค่กรณีใดกรณีหนึ่ง ส่วนกรณี กมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ สภาฯ จะไปตรวจสอบสถานที่รักษาตัวของ น.ช.ทักษิณนั้น ต้องประสานไปยังกรมราชทัณฑ์ หน่วยงานต้นเรื่องเพื่อให้พิจารณา และดำเนินการตามระเบียบ อนุญาตหรือไม่ยังตอบไม่ได้

คปท.จี้นำตัวไปพักฟื้นในเรือนจำ

ที่กรมราชทัณฑ์ เมื่อเวลา 11.00 น. นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ แกนนำ คปท. ร่วมกันทำกิจกรรม “สัปดาห์ตามหาความยุติธรรมที่หายไป” โดยยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เรื่อง ขอให้รีบนำตัวผู้ต้องขังเด็ดขาด ทักษิณ ชินวัตร กลับเรือนจำ โดยมี นพ.สมภพ สังคุตแก้ว หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ เป็นตัวแทนรับเรื่อง นายพิชัยกล่าวว่า ภายหลังที่ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ได้อ้างสิทธิในการเป็นผู้ป่วยแล้วย้ายมารักษาตัวนอกเรือนจำ เมื่อคืนวันที่ 22 ส.ค. และกรมราชทัณฑ์ได้อนุญาตให้มีการรักษาตัวต่อผ่านมากว่า 114 วันใกล้ครบ 120 วัน ปรากฏข้อเท็จจริงที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค พท.ที่เป็นบุตรสาว ให้สัมภาษณ์ว่า น.ช.ทักษิณ อยู่ระหว่างพักฟื้นร่างกาย จะอ้างเจ็บป่วยไม่ได้อีกต่อไป อาจเข้าข่ายผิดตาม ป.อาญามาตรา 157 ทั้งกรมราชทัณฑ์ได้เร่งรีบประกาศระเบียบฉบับใหม่กำหนดพื้นที่คุมขังอื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ บังคับใช้วันที่ 12 ธ.ค. เป็นห่วงว่า กระบวนการยุติธรรมเอื้ออภิสิทธิ์แก่ น.ช.ทักษิณ เป็นการเฉพาะหรือไม่ ขอให้เร่งนำตัวนายทักษิณกลับเรือนจำทันที

ขณะที่ นพ.สมภพกล่าวว่า ระเบียบกรมราชทัณฑ์ที่ออกมาล่าสุด ยืนยันว่าไม่ได้ออกมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนายทักษิณ แต่เพียงแค่ว่าจังหวะดันมาตรงกับในช่วงนี้พอดี

ดีเอสไอยัน ก.พ.รู้เบื้องหลังแก๊งหมูเถื่อน

เมื่อเวลา 15.00 น. ที่รัฐสภา นายศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด พรรคก้าวไกล ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) เกษตรและสหกรณ์ สภาฯ แถลงผลการตรวจสอบลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนว่า กมธ.เชิญกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาชี้แจงว่า ตรวจสอบลงลึกในรายละเอียดพบเป็นขบวนการใหญ่ มีผลประโยชน์มหาศาลเชื่อมโยงข้าราชการ นักการเมือง และนายทุน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้มีอำนาจในบ้านเมือง เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ดีเอสไอยืนยันจะเดินหน้าดำเนินการต่อไป คาดว่าเดือน ก.พ.2567 อาจจะได้เห็นว่ามีใครที่มีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องบ้าง

“เก็ต” ไขก๊อก รทสช.ไม่ปฏิรูปตัวเอง

วันเดียวกัน นายชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา หรือ เก็ต รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า 10 ปีที่ผ่านมาสัมผัสได้ว่าคนไทยต้องการความเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการการเมืองเดิมๆ นักการเมืองรุ่นเก่าเดิมๆ ชุดความคิดเดิมๆอีกต่อไป 10 เดือนที่ผ่านมาได้บินไปเข้าประชุมพรรคจากเชียงใหม่ทุกสัปดาห์ ทุ่มเทพลังกายและพลังใจมาตลอด กล้าพูดได้ว่าพรรค รทสช.ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศได้ ตราบใดที่ยังไม่เปลี่ยนระบบภายในทํางานแบบเดิม ผู้บริหารพรรคในอุดมคติต้องกล้าชน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เข้าถึงง่าย ฟังความคิดเห็นของสมาชิกพรรค ใจถึง ทํางาน เชิงรุกมีระบบ และกล้าเปลี่ยนแปลง หากฝ่ายอนุรักษ์ไม่ปฏิรูปตัวเองต้องมีมากกว่าปกป้องสถาบันฯและห้ามแตะ 112 ไปวันๆ จึงตัดสินใจลาออกจากพรรค

“วัชระ” ร้อง กมธ.สอบ “ปู” ซุกตัวในไทย

นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยื่นหนังสือต่อนายชัยชนะ เดชเดโช ประธาน กมธ.ตำรวจ สภาฯ เพื่อขอให้ศึกษากรณีมีข่าวปรากฏตามสื่อต่างๆว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ แอบลักลอบเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย พร้อมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จริงหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นจำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปีไม่รอลงอาญา เพื่อคลายข้อสงสัยของประชาชน ขอให้ กมธ. เชิญนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ผบ.ตร. การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง และตั้งอนุ กมธ.ศึกษาข้อเท็จจริง แถลงให้ประชาชนทราบ เพราะเป็นที่น่าสังเกตว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยโพสต์ข่าวความเคลื่อนไหวในต่างประเทศผ่านโซเชียลมีเดียตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผิดปกติวิสัยอย่างยิ่ง

“มาดามเดียร์” งดสังฆกรรม ปชป.

น.ส.วทันยา บุนนาค สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงบทบาทของตนเองต่อพรรค ปชป.หลังจากนี้ว่า จะยังคงตั้งมั่น และมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก้ไขกฎหมายที่เป็นปัญหาต่อประชาชนต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีตำแหน่งหรืออำนาจใดๆ แต่กิจกรรมทั้งหมดที่ขับเคลื่อนโดยกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จะของดเว้นบทบาท และยุติบทบาทการทำงานกับพรรค แต่จะยังคงเป็นสมาชิกพรรค ปชป.เพื่อทำงานที่เป็นประโยชน์กับประชาชนต่อไป แต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพรรค โดยเฉพาะผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบันตนจะไม่ขอเข้าร่วม เมื่อถามถึงการจะลาออกจากสมาชิกพรรค น.ส.วทันยาตอบว่า ยังขอรอดูทิศทางการทำงานของพรรคให้ชัดเจนกว่านี้ก่อน เพราะยังจะต้องให้ความเป็นธรรมกับกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดใหม่ ไม่เร่งตัดสินใจ โดยจะอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานทางการเมือง แต่หาก กก.บห.ชุดใหม่ ไปร่วมรัฐบาลจะเป็นจุดทบทวนสำคัญของสมาชิกพรรค ปชป.ที่ไม่เฉพาะตนเท่านั้น เชื่อว่าจะเป็นจุดทบทวนของสมาชิกทุกคน รวมถึงประชาชนผู้สนับสนุนพรรคด้วย

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ระเบิด ‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่าที่กลับมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ “โทรศัพท์มือถือ” จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโล...

เปิดเหตุผล 'ไปรษณีย์ไทย' ทำไมโดดร่วมสมรภูมิ 'เวอร์ชวลแบงก์'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.) เป็นวันปิดรับคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแ...

แกะกล่อง 'iPhone 16' และ 'iPhone 16 Pro Max' ส่องจุดเด่น มีลูกเล่นอะไรใหม่

แกะกล่องเป็นกลุ่มแรกๆ กับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max ที่วันนี้ KT Review จะพาไปดูว่าหนึ่งรุ่นเร...

‘ไมโครซอฟท์ - กูเกิล’ มอง ‘Digital Trust’ วาระท้าทาย ชีวิตบนโลกดิจิทัล

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน “60 Years OF EXCELLENCE” ฉลองครบรอบ 60 ปี เชิญผู้นำจา...