“สรวงศ์” ขอทำเต็มที่ ทวงคืนอันดับ 1 ให้พรรคเพื่อไทย ลั่น ถ้าไม่กล้าในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ประเทศก็ย่ำอยู่กับที่เหมือนเดิม ย้ำ ดิจิทัลวอลเล็ตกระชากเศรษฐกิจ สวน ธปท. ดูจากไหน เศรษฐกิจไทยไปในทางที่ดี
วันที่ 28 ตุลาคม 2566 นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการพรรค ว่า เป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกพรรคให้เข้ามาทำหน้าที่ ตนพร้อมทำงานเพื่อนำพรรคเพื่อไทยกลับมาให้ประชาชนเชื่อมั่น เป็นพรรคอันดับ 1 ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป สิ่งแรกที่จะทำคือการทำให้พรรคกลับมามุ่งมั่นทำงานแข่งกับตัวเอง ทำผลงาน ทำพื้นที่ที่เราถนัดอยู่ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เสริมเรื่ององค์ความรู้ในการช่วยเหลือประชาชน และนพกิจกรรมที่เราทำไปสู่สายตาประชาชนให้มากที่สุด เพราะสมาชิกพรรคเพื่อไทย และ สส.ของเรา ทำงานขันแข็งอยู่แล้ว แต่บางทีประชาชนในพื้นที่ รวมถึงโหวตเตอร์ที่อยู่นอกพื้นที่ไม่ทราบว่าเราทำอะไรไปบ้าง เราจะนำเรื่องเหล่านี้ไปสู่การรับรู้
ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้ นายเสนาะ เทียนทอง ถือเป็นนักปั้นนายกรัฐมนตรี เมื่อมารับตำแหน่งตรงนี้ถือเป็นแรงกดดันหรือไม่ นายสรวงศ์ ตอบว่า ไม่กดดัน ทำเต็มที่ ตนและทีมกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และสมาชิกเพื่อไทยทุกคนทำเต็มที่ เพื่อให้พรรคกลับมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ส่วนคำว่านักปั้นนายกฯ นั้น ขอเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะช่วยสนับสนุนให้แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยได้เป็นนายกรัฐมนตรี
...
ในเรื่องกรณีที่หลายภาคส่วนยังคงวิจารณ์จะนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีการออกมาพูดว่าหากต้องกู้เงิน รัฐบาลจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 1.4 แสนล้านบาท นายสรวงศ์ เผยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร ที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รับผิดชอบ โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน แต่ในนามของพรรคเพื่อไทยมั่นใจเกี่ยวกับโครงการนี้ เพราะไม่ใช่นโยบายแรกที่เราเสนอแล้วมีความแตกต่างจากพรรคอื่น
“ถ้าจำกันได้ตอน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์โครงการว่าจะทำได้อย่างไร เอาเงินจากไหน ไม่ปฏิเสธว่าการออกนโยบายที่ไม่เหมือนคนอื่นต้องมีคนเห็นต่าง แต่ถ้าเขาคิดกันได้ประเทศก็ไม่เป็นแบบนี้ ถ้าเราไม่ทำอะไรที่แตกต่างให้บ้านเมือง มันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิม ดังนั้นการที่นโยบายนี้ออกมา ผมอยากคนไทยหันกลับมามองคนที่เขาต้องการ นโยบายนี้ไม่ใช่นโยบายช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย แต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศ”
ส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกไม่ต้องกระตุ้น เพราะเศรษฐกิจไทยไปในทางที่ดีแล้วนั้น นายสรวงศ์ ตั้งคำถามว่า ไม่ทราบว่าดูตัวเลขจากไหน พวกตนเป็น สส.บ้านนอก อยู่กับประชาชนทุกวัน ไม่เห็นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เราย่ำอยู่กับที่ บางคนพูดว่าเราถอยหลังไปแล้ว ก็อยากให้ดูภาพรวม จริงๆ แล้วเราเสียงบประมาณที่ผูกพันอยู่แล้วมากกว่าวงเงินที่ใช้ตรงนี้ แต่นี่เป็นนโยบายครั้งเดียวที่จะกระชากเศรษฐกิจขึ้นมาให้คนในประเทศมีเงินทองหมุนเวียน ดึงดูดนักลงทุนในไทย
ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งกรรมการมาศึกษาและรับฟังความเห็นเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว นายสรวงศ์ ระบุว่า ถ้า ป.ป.ช. ทักท้วงมาแล้วมีเหตุผลรัฐบาลก็รับฟัง นายกรัฐมนตรีเปิดฟังทุกความเห็น แต่ถ้าเขาคิดกันได้ก็ไม่เป็นแบบนี้ ถ้าย้อนไปยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โครงการ 2 ล้านล้านบาท ที่ต้องหยุดไป ตอนนี้ใช้เงิน 4 ล้านล้านบาท ไม่รู้จะทำได้หรือไม่ ประเทศเสียอะไรไปบ้าง เสียโอกาสมากกว่าเงินที่ลงทุนไปเท่าไร บางอย่างตีมูลค่าไม่ได้ แต่พอเวลาผ่านไปแล้วเป็นมูลค่ามหาศาลมาก ถ้ามีการทักท้วงจากองค์กรอิสระหรืออะไร นายกรัฐมนตรีรับฟัง แต่การบริหารต้องเดินหน้าต้องกล้าตัดสินใจ ถ้าเราไม่กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ก็อยู่กับที่เหมือนเดิม.