กองทุนหุ้น Healthcare ผลตอบแทนเด่น แซงหุ้นเทคฯ 1 ปี พุ่งสูงสุดเฉียด 25% 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตค่อนข้างมาก แต่ทว่ายังคงมีความผันผวน ล่าสุด แม้งบหุ้น Nvidia ไตรมาส 2/67 ออกมาค่อนข้างดีกว่าคาด กลับมีแรงเทขายออกมาอย่างหนักเช่นกัน 

ขณะหุ้น Healthcare กลับทำราคา New High สวนทาง กลุ่มเทคโนโลยี ให้ผลตอบแทน Outperform ทั้งนี้ “กูรู” ระบุว่า หุ้น Healthcare ถือเป็นหุ้น Defensive ที่ได้รับประโยชน์ค่อนข้างมาก ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐเกิดการชะลอตัว 

บวกของการเลือกตั้งสหรัฐที่กำลังมีความร้อนแรง กับหนึ่งนโยบายด้านสุขภาพที่ “พรรคเดโมแครต” ใช้หาเสียง โดยมองว่าของคนสหรัฐ หรือประกันสุขภาพเป็นสิทธิ์ที่จะต้องจ่ายให้กับคนทุกคน รัฐอาจเข้ามาควบคุม ขณะที่ “พรรครีพับลิกัน” ต้องการมีเสรีด้านราคายา โดยไม่ต้องมีการควบคุม จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นหรือไม่? ที่ทำให้หุ้น Healthcare ราคาพุ่งขึ้นมา  

ชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กองทุนหุ้นกลุ่ม Healthcare สามารถให้ผลตอบแทนอย่างโดดเด่นมาจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปีนี้ เริ่มมีการเปลี่ยนธีมการลงทุน หลังจากที่กระแสหุ้น AI พาให้หุ้น 7 นางฟ้า วิ่งต่อจากปีที่แล้ว ส่งผลให้ P/E ค่อนข้างสูงมาก ๆ ขณะที่ฟันด์โฟลว์หาที่ลงไม่ได้ เนื่องจากจีนก็ประสบกับสงครามการค้า หรือทางฝั่งเอเชียมีปัญหาอยู่ ดังนั้นจึงมีการหาหุ้นที่มีการเติบโตที่ดีมีกำไรเกิน 10% จึงกลายเป็นว่านักลงทุนกลับมาลงทุนในหุ้น Healthcare 

รวมถึงกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกรอบสั่งหารไม่สำเร็จ ทำให้มีการกระแส “ทรัมป์” มาในช่วงขณะนี้ และเกิดการเปลี่ยนตัว “โจ ไบเดน” มาเป็น “กมลา แฮร์ริส” โพลกลับมาเข้าที่ “แฮร์ริส” อีกรอบ และแม้ว่าตลาดได้ตีความว่า ทรัมป์ มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง

ทั้งนี้ “แฮริส” จากพรรคเดโมแครต มองว่า ประกันสุขภาพเป็นสิทธิ์ ที่จะต้องจ่ายให้กับคนทุกคน ซึ่งก็จะมีกฎหมายออกมาควบคุมยา ไม่เช่นนั้นรัฐจะจ่ายเงินเยอะเกินไป 

ขณะที่ “ทรัมป์” พรรครีพับลิกัน ประกันเหล่านี้เป็นสินค้าและบริการที่ประชาชนจะมีก็ได้หรือไม่มีก็ได้ และคาดว่าบริษัทยาเหล่านี้อาจจะเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับ “ทรัมป์” และหาก “ทรัมป์” มาจะมีการยกเลิก และทำให้เกิดเอฟเฟกทำให้ราคายาหามีการขายได้เยอะ ๆ และมาก ๆ จะทำให้มีกำไรมากขึ้น เพราะไม่ต้องมีกาควบคุมยา 

และอีกประเด็นที่ทำให้หุ้น Healthcare พุ่งขึ้นมา หากดูใน 11 เซกเตอร์ของตลาดหุ้นสหรัฐ หุ้นกลุ่ม Healthcare มียอดขายและกำไรที่ดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ  จากการวิเคราะห์ของ Bloomberg consensus  

ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถถือหุ้น Healthcare ระยะยาว 2- 3 ปีได้ เนืื่องจากมีความทนทานต่อวัฎจักรเศรษฐกิจอย่างแน่นอน 

บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วง 1 - 2 เดือนที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเกิดความผันผวน ขณะที่ หุ้น Healthcare สวนทางกลับ Outperform ขึ้นเรื่อย ๆ 

ทั้งนี้ในส่วนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือสินค้าฟุ่มเฟือย หรือกลุ่มสื่อสาร มีการเติบโตค่อนข้างมาก่อนหน้านี้ แต่จะมีช่วงหนึ่งที่ตลาดเกิดความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้หุ้นกลุ่ม Healthcare ได้ เนื่ืองจากหุ้นกลุ่มนี้เป็นกลุ่ม Defensive ค่อนข้างที่จะได้ประโยชน์ 

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้คนจะเริ่มคลายความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ยังมีความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอยู่ ส่งผลให้กลุ่ม Healthcare ได้รับประโยชน์ เนืื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่ได้มีความผันผวนต่อภาวะเศรษฐกิจมากนัก หากมองไปข้างหน้ากลุ่มที่มีการเติบโตตามวัฎจักรจะมีความผันผวน ขณะที่กลุ่ม Healthcare ได้ประโยชน์

โดยการวิเคราะห์ในหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ต้องระวังมีด้วย 4 กลุ่มย่อย ได้แก่ 1.กลุ่มยา 2.กลุ่มโรงพยาบาล 3.กลุ่มวิจัย และ 4.กลุ่มเครื่องมือแพทย์ ซึ่งตัวที่จะเป็นหุ้น Defensive จะเป็นกลุ่มยา และกลุ่มโรงพยาบาล ได้ประโยชน์ค่อนข้างชัด 

ขณะที่กลุ่ม กลุ่มวิจัย และ กลุ่มเครื่องมือแพทย์ จะมีความเอนเอียงไปทางหุ้นเทคโนโลยีเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้มีความแกว่งตัวได้ ดังนั้นหากนักลงทุนจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมอาจจะต้องไปดูนโยบายการลงทุนเพิ่มมากขึ้นว่า เน้นกลุ่มใดเป็นหลัก แต่ทว่า โดยรวมในกลุ่ม Healthcare ยังได้ประโยชน์อยู่

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการเริ่มแนะนำกลุ่ม Healthcare ที่ชัดมากขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/67 ที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนควรมีกลุ่มดังกล่าวติดพอร์ตไว้ประมาณ 10 -15% เนื่่องจากหากพิจารณาไปที่หุ้นโลกเฉลี่ยจะมีหุ้น Healthcare ที่ 8 -14% หากนักลงทุนเพิ่มการลงทุนมากไปกว่านี้ อาจจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนกันได้ ซึ่งกองทุนดังกล่าวจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการเติบโตอย่างร้อนแรงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ รวมถึงช่วงกระจายความเสี่ยงในช่วง 6 -12 เดือนข้างหน้าได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยไม่ได้หายไปไหน แม้อาจจะไม่ได้เกิด แต่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง ดังนั้นจึงช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี 

ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจกองทุนหุ้น Healthcare ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับแรก มีดังนี้ (ข้อมูลจาก มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)) 

1.กองทุนเปิด ทิสโก้ ไบโอเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์  หรือ TBIOTECH

  • ผลตอบแทน 1 ปี 24.58%
  • มูลค่า NAV 311.76 ล้านบาท 
  • ราคา 20.02 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 12 มี.ค. 2563

2.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นโกลบอลเฮลธ์แคร์ หรือ SCBGHC

  • ผลตอบแทน 1 ปี 16.11%
  • มูลค่า NAV 930.77 ล้านบาท 
  • ราคา 12.94 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 2 ก.ย. 2558

3.กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ ชนิดสะสมมูลค่า หรือ KT-HEALTHCARE-A

  • ผลตอบแทน 1 ปี 15.52%
  • มูลค่า NAV 968.77 ล้านบาท 
  • ราคา 16.81 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 27 พ.ย. 2558

4.กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Healthcare  หรือ ES-HEALTHCARE

  • ผลตอบแทน 1 ปี 14.78%
  • มูลค่า NAV 309.49 ล้านบาท 
  • ราคา 14.70 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 6 ก.ค. 2558

5.กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ หรือ BCARE

  • ผลตอบแทน 1 ปี 14.16%
  • มูลค่า NAV 5,742.12 ล้านบาท 
  • ราคา 42.40 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 29 ส.ค. 2550

6.กองทุนเปิดเคเคพี โกลบอล เฮลธ์แคร์ หรือ KKP GHC

  • ผลตอบแทน 1 ปี 14.02%
  • มูลค่า NAV 133.65 ล้านบาท 
  • ราคา 17.89 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 12 มี.ค. 2551

7.กองทุนเปิด แอล เอช เฮลธ์ อินโนเวชั่น ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ LHHEALTH-E

  • ผลตอบแทน 1 ปี 13.58%
  • มูลค่า NAV 8.57 ล้านบาท 
  • ราคา 6.55 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 29 ก.ย. 2564

8.กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล เฮลธ์แคร์ สตาร์ พลัส หรือ TGHSTARP

  • ผลตอบแทน 1 ปี 13.44%
  • มูลค่า NAV 531.21 ล้านบาท 
  • ราคา 13.28 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 20 พ.ค. 2558

9.กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเฮลธ์แคร์อิควิตี้-ชนิดสะสมมูลค่า หรือ KFHEALTH-A

  • ผลตอบแทน 1 ปี 12.87%
  • มูลค่า NAV 961.69 ล้านบาท 
  • ราคา 14.14 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 2 ก.พ. 2561

10.กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ เฮลธ์แคร์ เอฟไอเอฟ ชนิดสะสมมูลค่า หรือ  KWI HCARE-A

  • ผลตอบแทน 1 ปี 12.59%
  • มูลค่า NAV 41.24 ล้านบาท 
  • ราคา 19.05 บาท 
  • ความเสี่ยง 7
  • วันที่จดทะเบียนกองทุน 18 ส.ค. 2557





 

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...