ไทยจะโตได้อย่างไรบนโครงสร้างที่ผุกร่อน

วันนี้ผมจะขอยกทีละเรื่องมาเขียนสัก 3 กระทรวงนะครับ

1.กระทรวงการคลัง กระทรวงหลักของประเทศที่ต้องหารายได้ นอกจากมาเลี้ยงข้าราชการแล้วยังต้องหารายได้มาใช้จ่ายดูแลความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญให้ประชาชนได้มีชีวิตอย่างมีความสุข และทั้งต้องกันเงินส่วนหนึ่งให้มากพอเพื่อไปลงทุนสำหรับอนาคตด้วย

แต่ทุกวันนี้รู้กันทั่วแล้วว่า งบประมาณขาดแคลนมากไม่พอสำหรับกิจการที่รัฐบาลต้องดูแล และส่วนที่เหลือไปลงทุนก็ต่ำถึงพื้นแล้ว  ส่วนตัวเลขทางการคลังที่สำคัญที่เปิดช่องให้รัฐบาลนำเงินไปใช้จ่ายล้วนชนเพดานทั้งนั้น ไม่ว่ายอดหนี้สาธารณะ ยอดเงินกู้หรืองบขาดดุลที่จะสามารถหาเงินมาใช้ และช่องทางต่างๆ ด้านวินัยการคลัง ล้วนแล้วแต่ตีบตันไปหมด

มันต้องทำบายพาสหรือผ่าหน้าอกเพื่อตัดต่อเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจเท่านั้นถึงจะอยู่รอด ที่ผ่านมาร่วม 20 ปีแล้วไม่มีรัฐบาลไหนกล้าแตะการขึ้นภาษีหลักของประเทศ คิดแต่แจกเงินรอให้ GDP ขยายตัวสูงขึ้นก่อนจึงจะคิดปรับขึ้นภาษี คงต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายๆ

สรุปแล้วกล่าวได้ว่าโครงสร้างทางการคลังของประเทศ ล้วนแต่ผุพังหมดยุคกันไปหมดแล้วกว่าจะแก้ไขได้ ถ้าได้รัฐบาลที่ทำเป็นและมือสะอาดก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 7-8 ปี

2. กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงนี้ที่คนทั่วไปรู้จัก คือ กระทรวงที่กำกับดูแลการประกอบการด้านอุตสาหกรรม ตลอดทั้งเรื่องการกำกับดูแลและการออกใบอนุญาตโรงงาน

แต่ขณะนี้มีเรื่องใหญ่สำหรับประเทศเกิดขึ้นคือ การวางนโยบายการผลิตรถยนต์ ซึ่งรวมถึงการผลิตอะไหล่หรือชิ้นส่วนด้วย นโยบายการมุ่งส่งเสริมการผลิตรถกระบะที่ทำมานานจนนำพาประเทศให้เพิ่มการส่งออกได้มาก บัดนี้กำลังกลายเป็นโครงสร้างที่ผุพังเช่นกัน ส่วนโครงสร้างใหม่ยังไม่เกิด

การปรากฏตัวและขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลกของรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าหรือ EV ทุกรูปแบบจากจีน ทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมมีอาการไข้จับและตัวร้อนจนพูดไม่ออก รถยนต์ EV ของจีนที่มุ่งผลิตและเน้นการตีตลาดในทุกประเทศเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเร็วมาก

โดยในอาเซียน ประเทศจีนได้ใช้สัญญาการค้าเสรี หรือ FTAs (Free Trade Agreements) ระหว่างอาเซียนกับจีน เป็นตัวเปิดทางให้ส่งรถและแถมมาตั้งโรงงานประกอบด้วย รถ EV ของจีนก็จะวิ่งเต็มถนนเมืองไทยในเวลาไม่นาน

อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ที่มีรถญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนมากตามโครงสร้างเก่าก็ต้องทยอยปิดตัวไป และโรงงานของบริษัทไทยที่ร่ำรวยจากการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ก็จะต้องค่อยๆปิดโรงงานตามไปด้วย ตัวอย่างแรกคือการเลิกโรงงานผลิตรถยนต์อีซูซุในประเทศไทย

3. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงนี้ไม่ใช่ดูแลเรื่องที่สำคัญเฉพาะการทำมาค้าขายเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะโลกเปลี่ยนไป แต่ก่อนก็ซื้อมาขายไป ไม่มีการซื้อขายแบบอีคอมเมิร์ซเหมือนปัจจุบัน ยิ่งกว่านั้นยุคนี้หรือในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ประเทศใหญ่ๆ รุกหนักในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ 

รวมทั้ง AI มาทำการผลิตสินค้าและด้านการตลาดในรูปแบบประหลาดที่กระทรวงพาณิชย์ตามไม่ทัน รุกหนักเข้าไปในตลาดของประเทศกำลังพัฒนาที่ยังหลับๆ ตื่นๆ พิงอยู่กับโครงสร้างเก่าที่ผุกร่อน แล้วประเทศอย่างไทยเราก็กลายเป็นแพะดีๆ นี่เอง

สำหรับประเทศไทยนั้นโดนเล่นงานหนักมาก แทบจะมากกว่าใครอื่นเพราะตอนนี้ไทยอ่อนแอกว่าประเทศอาเซียนด้วยกัน การเข้าไปร่วมใน FTAs ไม่ใช่คิดง่ายๆ ประเทศที่ประสิทธิภาพและทักษะด้อยกว่ามักจะเสียเปรียบ 

ทราบว่ารัฐบาลนี้กำลังจะเร่งรัดการทำสัญญาการค้าเสรีกับประเทศเกาหลี ซึ่งมีผลผลิตด้านอุตสาหกรรมเหนือไทยมาก และกับกลุ่มประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ซึ่งมีผลผลิตของสินค้าด้านปิโตรเคมีที่ก้าวหน้าและถูกมาก ผมว่าถ้ารัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ไม่อยากคิดมากก็ทำสัญญาการค้าเสรีกันให้หมดเลย อุตสาหกรรมน้อยใหญ่ของไทยจะได้เจ๊งไปพร้อมๆ กัน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ได้ข่าวว่ามีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหม่ชื่อ “ทีมู" (Temu) ของบริษัทจีนชื่อ PDP Holdings Inc. ได้มาเปิดตัวในไทยขายสินค้าผ่านแอปพลิเคชันเหมือนบริษัท ลาซาด้า (Lazada) ซึ่งก็เป็นของจีนที่เป็นบริษัทลูกของ Alibaba แต่ลาซาด้านั้นได้จดทะเบียนในไทยแล้วและเก็บภาษีได้บางส่วนก็สามารถทำการค้าได้เสรี 

ทีมูนี้ยังใหม่สำหรับไทยแต่ได้แพร่ทะลุไปกว่า 40 ประเทศแล้วรวมทั้งในสหรัฐด้วย สำหรับไทย ภาษีอะไรก็ไม่ต้องเสียยกเว้นส่งสินค้าผ่านกรมศุลกากร ได้ข่าวว่าราคาถูกกว่าสินค้าไทยถึง 1-2 เท่าตัว

การค้าแบบนี้ที่หลายคนเรียกว่า การทุ่มตลาด (Dumping) มีมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเซรามิกซึ่งก็คือกระเบื้องแบบต่างๆ สินค้าไทยอย่าง Cotto ไม่มีทางจะสู้ได้ สินค้าจีนนับตั้งแต่เสื้อผ้า รองเท้าและจิปาถะจึงขายในตลาดไทย ซื้อโดยคนไทยอย่างสนุกสนานมานานแล้ว

แต่ตอนนี้แพลตฟอร์มใหม่อย่าง Temu มีโปรแกรมล่อใจในการขายมานาน ใช้ AI ช่วยด้านการตลาดอย่างเต็มที่ ยิ่งตอนนี้โดนต่อต้านมากจากอเมริกาและยุโรป จึงขยายตัวเข้ามาในตลาดอาเซียนอย่างเต็มที่

การทุ่มตลาดของสินค้าจีนเพิ่มประเภทสินค้ามากขึ้นเป็นลำดับ มีข่าวว่าหลายประเทศออกมาตรการปกป้องตนเอง (Safeguards) ที่มีข่าวออกมาชัดเจนและจริงจังกับการแก้ไขมากในประเทศกลุ่มอาเซียน คือ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งผลิตกระเบื้องได้ดีและพยายามส่งออกด้วยแต่สู้จีนไม่ได้เลย 

ทราบว่าตอนนี้ระดับรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านการค้าของอินโดนีเซียได้ร่วมมือกับสมาคมผู้ผลิตสินค้าใช้ความพยายามอย่างมากที่จะหามาตรการ Safeguards ที่เป็นการต่อต้านการทุ่มตลาดของจีน หรือการปกป้องประเทศตนตามที่สัญญา FTAs กำหนดไว้มาใช้

แม้ว่ารัฐมนตรีการค้าของอินโดนีเซียและสมาคมผู้ผลิตสินค้าเซรามิกได้พูดคุยกับรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมของจีน เพื่อทำการคัดค้านหลายรอบแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่เป็นผล ฝ่ายทางการของอินโดนีเซียจึงคิดที่จะเพิ่มภาษีนำเข้าที่อาจสูงถึง 100-120% เพื่อต่อต้านสินค้าจีนในเรื่องนี้ 

แล้วของรัฐบาลไทยท่านรัฐมนตรีพาณิชย์ แค่เชิญทูตจีนมาพบคุยกันเชิงขอร้องแล้วถือว่ารัฐบาลได้จัดการเรื่องจีนส่งสินค้ามาทุ่มตลาดแล้ว จะไหวหรือครับ

เรื่องการค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนวันนี้ ถ้าเป็นคู่มวยบนเวที นักมวยของไทยนอกจากจะถูกต้อนเข้ามุมแล้ว การ์ดก็ยกไม่ขึ้นเอาเสียด้วย.

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...