เปิดชีวิตนอกออฟฟิศของ ‘ซักเคอร์เบิร์ก’ ทำอะไรบ้างนอกจากทำงาน?

หากเอ่ยถึง “สิ่งปฏิวัติการสื่อสาร” ของมนุษย์ จนเกิดชุมชนออนไลน์ขึ้นโดยระยะทางไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป “Facebook” ถือเป็นโซเชียลมีเดียยุคแรกที่เข้ามาพลิกโลกใบนี้ และผู้ก่อตั้งก็คือ “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” (Mark Zuckerberg)

นับตั้งแต่ Facebook ก่อตั้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มาร์กได้พาบริษัทขึ้นมายิ่งใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลกในชื่อบริษัทใหม่ว่า “Meta” ด้วยมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์  โดยมาร์คได้ขยาย Meta ให้ใหญ่โตจนเป็นเจ้าของ Messenger, Instagram, WhatsApp, Threads ฯลฯ

แม้ว่า Meta จะยิ่งใหญ่มาก แต่ด้วยแรงกดดันจากคู่แข่งอย่างแอปฯคลิปสั้น TikTok ที่มาแรง รวมถึงการดูแลเนื้อหาในโซเชียลที่นับวันจะซับซ้อนขึ้น เกิดข่าวปลอม เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมมากมาย จึงน่าสนใจว่าซักเคอร์เบิร์กมีกิจวัตรประจำวันอย่างไรในการบริหารชีวิต และรับมือความกดดันที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอย่างไร

รีบเช็ก Facebook ก่อนจะใส่คอนแทคเลนส์

หลังตื่นนอนราว 8 โมงเช้า ซีอีโอของ Meta จะเช็ก Facebook, Messenger และ WhatsApp บนโทรศัพท์ทันที ก่อนที่จะใส่คอนแทคเลนส์เสียอีก

“สิ่งแรกที่ผมทำคือ ดูโทรศัพท์ ผมดู Facebook เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในโลก จริง ๆ แล้วเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าเศร้า โดยก่อนใส่คอนแทคเลนส์ ผมมักจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นในเฟซบุ๊ก”

อย่างไรก็ตาม มาร์กยอมรับว่าการเช็กโทรศัพท์เป็นสิ่งแรกตอนตื่นนอน ถือเป็นนิสัยที่ไม่ดี 

“คุณจะได้รับข้อความประมาณล้านข้อความ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยดี คนมักจะเก็บเรื่องดี ๆ ไว้บอกกับผมด้วยตัวเอง สิ่งนี้เหมือนกับตื่นขึ้นมาแล้วโดนต่อยท้อง ตอนนี้ผมต้องรีเซตตัวเองทางจิตใจหลังจากอ่านข้อความเหล่านี้ จะได้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเครียดกับเรื่องนี้” 

เล่นศิลปะการต่อสู้ เพื่อจะได้โฟกัสและไม่ต้องคิดมาก

หลังจากอัปเดตข่าวสารตอนเช้าแล้ว ถึงเวลาออกกำลังกาย ซักเคอร์เบิร์กเคยออกกำลังกายอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์ โดยมักจะวิ่ง 

เขาชอบการออกกำลังกาย เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องงานมาก “ผมเคยวิ่งเยอะ แต่ปัญหาของการวิ่ง คือคุณสามารถคิดสารพัดเรื่องได้เยอะ” มาร์กกล่าว

ด้วยเหตุนี้ ในตอนนี้เขาเลิกวิ่งแล้ว และหันมาเล่นบราซิลเลียนยิวยิตสู (คล้ายการเอากีฬายูโดมาผสมกับมวยปล้ำ) และศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (Mixed Martial Arts) แทน
แทนที่จะวิ่ง

มาร์กเริ่มถามตัวเองว่า “อะไรคือสิ่งที่ท้าทายทั้งร่างกายและสมองอย่างมาก ซึ่งคุณไม่สามารถละสายตาไปที่อื่นได้ ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ เพราะถ้าคุณหยุดสนใจเพียงเสี้ยววินาที คุณจะจบลงด้วยการอยู่ข้างล่าง”

ในเดือนมิถุนายน มาร์กกล่าวว่าเขาเล่นยิวยิตสู และ MMA สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ซึ่งช่วยฝึกความแข็งแรง สมาธิ และการปรับสภาพร่างกาย

- มาร์กชอบเล่นศิลปะการต่อสู้ (เครดิต: มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก) -

ประหยัดพลังสมองด้วยการใส่เสื้อเหมือนกันทุกวัน

ก่อนออกจากบ้าน หลายคนอาจต้องเลือก และตัดสินใจว่าจะต้องแต่งกายแบบไหน ถึงจะดูดีที่สุด แต่สำหรับมาร์ค เขาพยายามทำเรื่องเหล่านี้ให้ง่าย ด้วยการสวมเสื้อแนวเดิมเหมือนกันเกือบทุกวัน 

โดยเขาเผยว่า ต้องการทำให้ชีวิตโล่งโปร่ง เพื่อไม่ต้องตัดสินใจอะไรมากมาย และใช้พลังที่เหลือไปกับการโฟกัสว่า ทำอย่างไรให้บริการชุมชนสังคมออนไลน์ออกมาดีที่สุด

การแต่งตัวเหมือนเดิมทุกวัน ช่วยให้สามารถประหยัดพลังงานสมองไว้สำหรับการตัดสินใจในการทำงานที่สำคัญกว่า

ในเรื่องการงาน ซักเคอร์เบิร์กบอกว่า เขาทำงานที่เฟซบุ๊กสัปดาห์ละ 50-60 ชั่วโมง แต่ใจคิดถึงโซเชียลมีเดียนี้ตลอดเวลา 

“ผมใช้เวลาส่วนใหญ่คิดเกี่ยวกับวิธีเชื่อมต่อโลกและให้บริการชุมชนของเราให้ดีขึ้น แต่เวลาส่วนใหญ่นั้นไม่ได้อยู่ในออฟฟิศหรือประชุมกับคนอื่น หรือทำในสิ่งที่คุณเรียกว่างานจริง” 

“เวลาส่วนใหญ่ของผมอยู่กับการอ่าน และคิดอะไรบางอย่างคนเดียว” เขากล่าวต่อ “ถ้าคุณนับเวลาที่ผมอยู่ในออฟฟิศ อาจจะไม่เกินสัปดาห์ละ 50-60 ชั่วโมง แต่ถ้าคุณนับเวลาทั้งหมดที่ผมมุ่งเน้นไปที่ภารกิจของเรา นั่นคือทั้งชีวิตของผม” มาร์กเผยความในใจ

โฟกัสเรื่องงานอย่างเข้มข้น

ซักเคอร์เบิร์กแบ่งปันว่า เขามีแนวโน้มที่จะโฟกัสงานหรือโปรเจกต์ใดโปรเจกต์หนึ่งอย่างเข้มข้น โดยพนักงานเรียกการโฟกัสของหัวหน้ามาร์กว่าคล้าย “ตาแห่งเซารอน” ซึ่งอ้างอิงถึงดวงตาที่มองเห็นทุกอย่างจากเรื่อง “The Lord of the Rings” อันเป็นสายตาที่ไร้ความปรานีและครอบงำ 

เมื่อซักเคอร์เบิร์กหันความสนใจไปยังทีมหรือโปรเจกต์ใดโปรเจกต์หนึ่ง พลังงานและความมุ่งมั่นระดับสูงของเขาอาจสร้างความหนักใจได้ จนอาจทำให้ทีมที่ทำงานด้วยรู้สึกเหนื่อยล้า

เพื่อลดความเข้มข้นในการโฟกัสของเขา มาร์คจึงพยายาม “กระจาย” พลังงานของตัวเอง ซึ่งหมายความว่า เขาพยายามที่จะกระจายความสนใจของเขาอย่างเท่าเทียมมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการทุ่มไปที่โปรเจกต์ใดโปรเจกต์หนึ่งมากไป 

มาร์กเชื่อว่า การได้รับฟีดแบคและการมีส่วนร่วมทันทีจากการโต้ตอบกับทีมโดยตรง รวมถึงการพูดคุยปัญหาในแบบเรียลไทม์นั้น มีประสิทธิภาพมากกว่าการนัดประชุมล่วงหน้า เขาตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมและให้คำแนะนำโดยไม่ต้องกดดันหรือเรียกร้องจากทีมของเขามากเกินไป วิธีการนี้ช่วยให้เขารักษาสมดุลระหว่างการมีส่วนร่วม และการสนับสนุนโดยไม่ก้าวก่ายมากเกินไป

ในการประชุม ซีอีโอ Facebook เล่าว่า “ผมชอบที่จะมีกฎสำหรับการประชุม สำหรับการประชุมหนึ่งชั่วโมง ทีมงานจะส่งเอกสารเตรียมการล่วงหน้า ผมต้องการอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงเพื่ออ่านเอกสารและคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ จากนั้นต้องการเวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงเพื่อติดตามกับคนต่าง ๆ หลังการประชุม”

พยายามนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง

แม้ว่ามาร์กจะงานยุ่งเพียงใดในการบริหารโซเชียลมีเดียในมือมากมาย แต่เขาก็เผยว่า จะพยายามนอนให้ถึง 8 ชั่วโมงต่อคืน ไม่นอนดึกมาก และใช้แหวนอัจฉริยะสุขภาพ Oura เพื่อติดตามการพักผ่อนของเขา

นอกจากนี้ มาร์กเล่าถึงปัญหาการหลับของภรรยาว่า “การเป็นแม่นั้นยาก และตั้งแต่เรามีลูกมา พริสซิลลา (ภรรยามาร์ก) ก็หลับไม่สนิท” ทั้งคู่มีลูกสาวสองคน “เธอจะตื่นขึ้นมาเช็คเวลาในโทรศัพท์เพื่อดูว่าลูกๆ จะตื่นเร็วๆ นี้หรือเปล่า แต่พอรู้เวลาแล้ว เธอก็จะเครียดและนอนไม่หลับต่อ”

เพื่อช่วยให้พริสซิลลานอนหลับได้มากขึ้น ซักเคอร์เบิร์กจึงใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมของเขาในการประดิษฐ์ “กล่องนอน”

ทั้งนี้ เธอไม่ได้นอนในกล่องนั้น กล่องถูกวางไว้บนหัวเตียงของพริสซิลลา และจะปล่อยแสงสลัว ๆ ออกมาในช่วงเวลา 6-7 โมงเช้า เพื่อบอกให้เธอรู้ว่าถึงเวลาตื่นแล้ว ถ้าไม่มีแสงสว่าง พริสซิลลาจะรู้ว่ายังสามารถนอนต่อได้ วิธีนี้ทำให้เธอไม่ต้องเช็คเวลา ซึ่งเป็นสาเหตุของความเครียด

มาร์คกล่าวว่า “ในฐานะวิศวกร การสร้างอุปกรณ์เพื่อช่วยให้ภรรยานอนหลับได้ดีขึ้น เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่ผมคิดออก เพื่อแสดงความรักและความขอบคุณ” 

- กล่องนอนที่มาร์กทำให้ภรรยา -

ใช้เวลาหลายปีศึกษาภาษาจีน

ในแต่ละวัน มาร์กพยายามศึกษาภาษาจีนกลาง และท้าทายตัวเองให้อ่านหนังสือเล่มใหม่ทุกสองสัปดาห์

เฟซบุ๊กมีพันธกิจในการ “ทำให้โลกเปิดกว้างและเชื่อมต่อกันมากขึ้น” แต่กลับพบอุปสรรคสำคัญในประเทศจีน โดยจีนได้แบน Facebook รวมถึงเว็บไซต์โซเชียลมีเดียอื่นๆ เช่น Twitter และ Youtube เมื่อปี 2552

"ผมดีใจมากที่ได้มาปักกิ่ง ผมรักเมืองนี้" ซักเคอร์เบิร์กกล่าวเป็นภาษาจีนกลางเมื่อเริ่มต้นการพูดคุย โดยเปิดเผยทักษะภาษาจีนของเขาต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยชิงหวา นักเรียนต่างอุทานด้วยความตกใจ ซึ่งในระหว่างนั้น ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่า เขาเรียนภาษาจีนเพราะญาติฝ่ายภรรยาพูดภาษาจีน และการเรียนภาษาช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรมของประเทศได้

สำหรับจีนถือเป็นตลาดใหญ่ที่บริษัทต่างชาติไม่อาจมองข้ามได้ โดยจีนมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพุ่งถึง 1.07 พันล้านคน

วิกเตอร์ แอนโทนี (Victor Anthony) นักวิเคราะห์ของ Topeka Capital Markets มองว่า ถ้า Facebook สามารถเข้าตลาดจีน และดึงดูดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวจีนได้อย่างน้อย 30% จะทำให้มูลค่าหุ้น Facebook เพิ่มขึ้น 3 ถึง 4 ดอลลาร์ต่อหุ้น 

อ้างอิง: business, insider, fortune, cnn, entre, nbc

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...