คุยกับ ‘เบียร์ ใบหยก’ ซีอีโอ FAB ภารกิจแรก ลงพื้นที่ ตรวจสาขา มาก่อนดูตัวเลข

หลังจาก 3 ซีอีโอ “ภูริต ภิรมย์ภักดี” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด “ฉาย บุนนาค” รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) และ “ปิยะเลิศ ใบหยก” หรือ เบียร์ ใบหยก รองประธานกลุ่มใบหยก และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีเอ็นเอฟ โฮดิ้ง จำกัด มาผนึกกำลังครั้งสำคัญ “ร่วมทุน” ลุยธุรกิจอาหาร เพื่อสร้างความสนุก เติมสีสันให้กับผู้บริโภค

ทั้ง 3 แม่ทัพ ได้นำแบรนด์ร้านอาหารในมือ มาจัดพอร์ตใหม่ พร้อมตั้งบริษัท เอฟเอบี ฟู้ด โฮลดิ้ง จำกัด(FAB) พร้อมตั้ง “เบียร์ ใบหยก” เป็นคนนำทัพ เหตุผลเพราะเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหาร ที่สำคัญลงพื้นที่เพื่อสำรวจร้านสาขาต่างๆ เพื่อที่จะแก้โจทย์ หาทางสร้างการเติบโตต่อไป

15 ปี บนเส้นทางธุรกิจร้านอาหาร

ปิยะเลิศ ใบหยก หรือ เบียร์ ใบหยก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮลดิ้ง จำกัด เล่าประสบการณ์ทำธุรกิจร้านอาหารของตนเองเริ่มขึ้นราว 15 ปีก่อน โดยหมวดร้านอาหารแรกที่จับคือ “ปิ้งย่าง” หรือยากินิกุ(FYI:Gyu-Kaku) ซึ่งสร้างการเติบโตได้อย่างงดงาม จนทำให้เจ้าของแฟรนไชส์เห็นโอกาสและซื้อกิจการกลับไปลุยธุรกิจเอง

แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอที่ เบียร์ ใบหยก นำมามีทั้งกระแสและเกิดจากความรักชอบหรือ Passion ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นร้านชีสทาร์ต Pablo ร้านแพนเค้ก Gram เป็นต้น

การรุกคืบธุรกิจอาหาร ปัจจุบันมีความหลากหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วนกับร้าน “ส้มตำ เจ๊แดงสามย่าน” ที่หากใครเป็นฐานแฟน ผู้บริโภคจะรู้ดีว่า รสชาติความอร่อย คุณภาพอาหารนั้นถูกใจสายแซ่บ และยังมีร้านปีกไก่ทอดเซไค โนะ ยามะจัง(Sekai no Yamachan) เป็นต้น

“ผมอยู่ในธุรกิจร้านอาหารมาประมาณ 15 ปี ทำร้านเนื้อย่างมาก่อน ซึ่งจุดเริ่มต้นเกิดจากผมชอบทานมาก รู้เรื่องเนื้อย่าง จึงอยากทำปิ้งย่าง และปีหน้าจะได้เห็นร้านปิ้งย่างที่พัฒนาเองโดยทีมงานชาวญี่ปุ่นด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ประสบการณ์ผมมี อาจไม่มาก แต่การเรียนรู้ทำธุรกิจร้านอาหาร ถ้าไม่โอเค จะไม่ทำแบบนั้นอีก”

จุดร่วมทุน รวมพลัง 3 ซีอีโอ

ขณะที่การร่วมทุนทั้ง 3 ซีอีโอ “เบียร์ ใบหยก” เล่าว่า มาจากการที่ตนเองมักชวน “เต้ ภูริต” ไปออกรายการ แต่ยังไม่สำเร็จสักที และกลายเป็นว่า “เต้ ภูริต” ชวนให้ไปดูแลธุรกิจอาหารแทนเสียอย่างนั้น

จากเบียร์ ใบหยก ไปชวนเต้ ภูริต ออกรายการ กลับกลายเป็นถูกชวนมารับบทบริหารธุรกิจร้านอาหารแทนเฉย 

นอกจากนี้ เต้ ภูริต ยังบอกว่าตัวเองไม่ถนัดการทำธุรกิจอาหาร แต่เชี่ยวชาญและชอบการทำธุรกิจ “เครื่องดื่ม” ที่เป็นจุดแข็งของสิงห์มากกว่า ส่วน “เบียร์ ใบหยก” เองก็ไม่ถนัดทำธุรกิจเครื่องดื่ม และอยากเห็นกลุ่มใบหยกแกร่งฝั่งเครื่องดื่มด้วย งานนี้จึงเหมือนได้ “เต้ ภูริต” มาเป็น “กุนซือ” ไปในตัว ซึ่งภาพรวมของดีลดังกล่าวใช้เวลาเจรจากันราว 6 เดือน จึงบรรลุผล

“พี่เต้ เวลาไม่ค่อยมี บอกผมว่า..เอา(ธุรกิจร้านอาหาร)ไปดูหน่อย คำพูดจากพี่เต้ ไม่มีอะไร เอาไปดูเลย นี่เรื่องซีเรียสนะ” เขาเล่า และขยายความว่า “พอมาร่วมกัน ซึ่งผมทำธุรกิจร้านอาหารอยู่แล้ว มันต้องรักด้วย แล้วผมมีประสบการณ์พอสมควร ไม่ได้บอกว่าผมเก่งนะ แต่ทีมงานตั้งใจกัน มองว่าหลายแบรนด์ที่เข้ามารวมกันแล้วมันส์กว่าจริงๆ และอุ่นใจมีพี่ทีมงาน พี่เบนซ์(วรภัทร ชวนะนิกุล Chief Financial Officer บุญรอดเทรดดิ้ง และกรรมการ ฟู้ด แฟคเตอร์) พี่แม็กซ์(ชัยพิพัฒน์ แก้วไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อควาฯ) ส่งเสริมกันให้แข็งแกร่ง”

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนธุรกิจร้านอาหาร “เบียร์ ใบหยก” บอกว่าสูตรที่จะปรุงจากนี้ ต้องอร่อย สะอาดเป็นตัวยืนหนึ่ง ตามด้วยความสนุก “ราคาเป็นมิตร” และเฟรนด์ลี่กับผู้บริโภค คือลูกค้าเข้าไปในร้านต้องไม่อึดอัด พนักงานเป็นกันเอง เพราะธุรกิจนี้ “การแข่งขันสูง” และแย่งพื้นที่ในกระเพาะอาหารหรือ Share of Stomach ผู้บริโภคเดินห้างค้าปลีก จะเจอร้านอาหารทั้งซูชิ สเต๊ก ส้มตำ ฯ จึงต้องทำให้แบรนด์แกร่ง ร้านน่าเข้า และสนุก เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้ได้

รับบทลูกค้าพ่วง ‘ซีอีโอ’ และภารกิจคิกออฟ รีเฟรชร้านซานตาเฟ่

การร่วมทุน รวมพอร์ตร้านอาหารภายใต้ “FAB” จะมีทั้งหมด 8 แบรนด์ ประกอบด้วย

ฟู้ด แพ็คเตอร์ -ซานตาเฟ่ ซานตาเฟ่ อีซี่ เหม็งแซ็ปนัว

เบียร์ ใบหยก - ร้านเซไค โนะ ยามะจัง อิคโคฉะ ราเมน และ อุชิดายะ ราเมน ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน

อควา คอร์ปอเรชั่น - ร้านราเมงเดส

ร้านอาหารจะมีทั้งหมด 4 หมวด ได้แก่ กลุ่มสเต็ก อาหารไทย อิซากะยะ และราเมน รวมจำนวน 204 สาขา

ภารกิจแรกของ “ซีอีโอ เบียร์ ใบหยก” จะเดินหน้ารีเฟรชร้านสเต๊ก “ซานตาเฟ่” เพราะมีจำนวนร้านมากสุด 127 สาขา หากเติมสีสัน ทำให้ร้านสนุก ดึงลูกค้าเข้าร้านได้มากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นตัวพลิกเกม “สปีด” การเติบโตได้

“ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองทานซานตาเฟ่ทุกเมนูแล้ว และร้านซานตาเฟ่เป็นพอร์ตที่ใหญ่สุดมีกว่า 100 สาขา อยู่ในโลเกชั่นที่ดี ทำตลาดครองใจกลุ่มเป้าหมายกว่า 20 ปี และมีรายได้มากสุด เราจะพัฒนา สร้างสีสันร้านก่อนเลย หากทำสำเร็จ เราจะเติบโตก้าวกระโดดเลย น่าจะสปีดได้เร็ว”

เมื่อเริ่มต้นจากเป็น “ลูกค้า” เข้าไปใช้บริการทานอาหารที่ร้าน พอเป็นร้านที่ต้องบริหาร จึงรู้โจทย์ Pain point ต่างๆที่ต้องปรับให้ตรงจุดโดนใจกลุ่มเป้าหมายมากจึ้น

“ผมลองเป็นลูกค้าของร้านเราก่อน ก่อนทำ ก็รักของเรา ก็มั่นใจในมุมของซีอีโอ เพราะหากไม่มั่นใจก็ขายลำบาก ซึ่งมั่นใจว่า 8 แบรนด์ จะทำให้แข็งแกร่ง ขยายสาขา ปรับให้เซ็กซี่ขึ้นได้ เพราะผมอยู่กับส้มตำเจ๊แดงมา อาหารต้องใส่ใจมากๆ โชคดีผมชอบทานและใส่ใจด้วย ผมอยากได้ยังไง อยากทานยังไง ก็ทำอย่างนั้น หากไม่อร่อย สะอาด ก็ปรับ”

ซีอีโอ "เบียร์ ใบหยก" รับบทเป็นลูกค้าท่านหนึ่ง

รวมกันแล้วอยากโตเยอะ ยังไม่ฝันใหญ่เป็น “เชน-เข้าตลาดหลักทรัพย์”

8 แบรนด์ ปัจจุบันทำรายได้ราว 1,700 ล้านบาท “เบียร์ ใบหยก” มองโอกาสเติบโตอีกมาก ซึ่งนอกจากจะเห็นการพลิกโฉมของ “ซานตาเฟ่” การเติมความสนุกให้กับธุรกิจร้านอาหารคือลุยกลยุทธ์ความร่วมมือ(Collaboration:X) ตามแผน บริษัทต้องการพาร้านส้มตำเจ๊แดง สามย่าน บุกต่างจังหวัด จะเห็นการควง “เหม็งแซ็ปนัว” ไปด้วย เพราะมี “จิ้มจุ่ม” เสิร์ฟกลุ่มเป้าหมาย

ร้านสาขาใหญ่ของ “ซานตาเฟ่” อาจเฉือนบางพื้นที่ให้ “ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน” ได้อยู่ปรุงเมนูอร่อยเสิร์ฟลูกค้า หลังบ้านจะซีนเนอร์ยีการซื้อวัตถุดิบ ใช้ “ครัวกลางของอควา” เพื่อต่อยอดร้านราเมน เป็นต้น

หากแกร่งขึ้น รายได้เติบโต ภาพใหญ่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือมุ่งเป้าเป็นร้านอาหารเครือข่าย(เชน) หรือไม่ “เบียร์ ใบหยก” บอกว่า

“รวมกันแล้วเราอยากโตเยอะนะ ส่วนอยากเป็นเชนใหญ่ เข้าตลาดไหม นาทีนี้ผมยังไม่มองจะต้องโตแค่ไหน หรือเข้าตลาด เพราะงานแรกของผมในฐานะซีอีโอ ต้องปรับภาพลักษณ์แบรนด์ ร้านอาหารให้สดใสก่อนเลย ทุกวันนี้ผมยังไม่มองดูตัวเลข ไม่ได้เป็นซีอีโอเปิดดูตัวเลข ตอนนี้วิ่งไปสาขาก่อน ไปเจอพนักงาน ไปทานอาหารตอน Last order อยากปรับคุณภาพทุกอย่างให้ดีก่อน เพราะพี่เต้ ภูริต บอกว่าต้องทำคุณภาพร้าน สาขาให้ดีสุด นี่คืองานหลักของผม

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ