‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ เดิมพันพายุหมุน 4 ลูก คำถามใหญ่ฟื้นเศรษฐกิจไทยได้แค่ไหน?

โครงการเติมเงิน 10,000 บาทในกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเล็ตวงเงิน 4.5 แสนล้านบาทที่รัฐบาลตั้งใจให้เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เป็นการใช้ “นโยบายการคลัง”โดยหวังจะจั๊มสตาร์ทเศรษฐกิจของประเทศให้พลิกฟื้นขึ้นจากภาคการบริโภคของประชาชนไปสู่ภาคการผลิต เพื่อให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นทั้งระบบ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปเมื่อ 10 เดือนก่อน โดยยืนยันว่าโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจ สามารถพึ่งพาตนเองได้ สร้างและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ

พายุหมุนฟื้นเศรษฐกิจ 4 ลูก 

รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเมื่อเริ่มดำเนินโครงการฯ แล้ว จะก่อให้เกิดพายหมุนทางเศรษฐกิจจำนวน 4 ลูก ได้แก่

พายหมุนลูกที่ 1 การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็ก ถือเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังฐานราก กระจายไปพร้อมกันทุกอำเภอทั่วประเทศ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน

พายุหมุนลูกที่ 2 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดเล็กกับร้านค้าขนาดใหญ่

พายุหมุนลูกที่ 3 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดใหญ่กับร้านค้าขนาดใหญ่ซึ่งจะทำให้เกิดการต่อยออดกำลังซื้อ การบริโภค หรือสร้างโอกาสในการลงทุนเพื่อประกอบอาชีพ

 และพายุหมุนลูกที่ 4 พลังการใช้จ่ายของประชาชนแต่ละคนจะเกิดผลต่อการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นทวีคูณ ช่วยฟื้นฟูภาคการผลิตของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม

หนี้สาธารณะขยับเข้าใกล้เพดาน 70% 

อย่างไรก็ตามในการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนนี้รัฐบาลก็จะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยนายพิชัยยอมรับว่าในขณะที่เศรษฐกิจในสองภาคส่วนคือภาคประชาชนที่หนี้ครัวเรือนสูงถึงกว่า 91% ของจีดีพี ขณะที่หนี้สาธารณะก็ขยับเข้าไปใกล้กับ 70% ซึ่งเป็นเพดานหนี้สาธารณะตามกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ซึ่งแม้ว่าภาครัฐจะมีหนี้เพิ่มขึ้นแต่รัฐบาลมองว่ามีความจำเป็น

“เมื่อสองเสาหลักคือภาคประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจเกิดปัญหา ทุกรัฐบาลต้องสร้างหนี้เพื่อเข้ามาช่วยเหลือดูแล ดังนั้นยอดหนี้รัฐบาลก็จะสูงขึ้นมาตามลำดับ ขณะนี้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ราว 60% และกำลังเดินเข้าสู่กรอบที่ตั้งไว้ คือไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี หรือไม่เกิน 14 ล้านล้านบาทจากจีดีพี 20 ล้านบาท แต่วันนี้อยู่ที่ประมาณ 12 ล้านล้านบาท ใกล้แล้วครับ เราเหลือกระสุนอีกไม่เยอะ" นายพิชัย กล่าว

แม้ว่ารัฐบาลจะเดิมพันโครงการดิจิทัลวอลเล็ตกกับหนี้สาธารณะของประเทศที่เพิ่มขึ้นแต่สิ่งสำคัญก็คือต้องทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมีคำถามจากสังคมว่าโครงการนี้จะทำให้จีดีพีของประเทศโตได้ขนาดไหน

ดิจิทัลวอลเล็ตดันจีดีพีปี 68 

นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า การใช้จ่ายเงินดิจิทัลจะเริ่มในไตรมาส4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ  จึงไม่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีปี67 มากนัก แต่จะมีผลทางจิตวิทยา โดยจะเกิดขึ้นในปี68 ที่เม็ดเงิน 450,000 ล้านบาทที่รัฐบาลเติมลงไปในระบบเศรษฐกิจ จะมีผลต่อจีดีพีในปี68  ราว 1.2-1.8%

ที่ผ่านมาหน่วยงานเศรษฐกิจอย่างสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ประเมินว่าสศช.ประเมินโครงการ “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” 10,000 บาท ตามนโยบายรัฐบาลจะช่วยดันจีดีพีทั้งปี 2567 เพิ่มอีก 0.25% หากเริ่มใช้ได้ในช่วงต้นเดือน ต.ค.ปีนี้ ส่วนธนาคารโลก (World Bank) นั้นประเมินว่าผลจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้นจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ 0.51% เท่านั้น

คลังยังมั่นใจดิจิทัลวอลเล็ตดันจีดีพีได้ 1.2-1.8%

ขณะที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ประเมินผลที่คาดว่าจะได้รับในระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ต่อเศรษฐกิจไทยเบื้องต้น ณ วันที่ 10 เม.ย. 2567 ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะโครงการฯ จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณ 1.2-1.8% ตลอดทั้งโครงการฯ 

อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของเงิน เงื่อนไขโครงการฯ จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการฯ และพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้รับสิทธิ์ในโครงการเป็นสำคัญ

ก่อนหน้านี้นายเผ่าภูมิกล่าวว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตถือว่าเป็นโครงการที่ไม่สามารถประเมินผลต่อเศรษฐกิจได้ชัดเจนเพราะเป็นโครงการใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในโลก และดิจิทัลวอลเล็ตเป็นโครงการที่มีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆทั้งการใช้จ่ายประชาชนและร้านค้าเพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากที่สุดซึ่งต้องมีการประเมินอีกครั้งเมื่อโครงการเริ่มใช้

โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจึงเป็นเดิมพันสำคัญของประเทศและรัฐบาลที่จะต้องขับเคลื่อนให้มาตรการสร้างแรงบวกต่อเศรษฐกิจ ให้จีดีพีของประเทศขยายตัวได้ แต่ในทางตรงกันข้ามหากมาตรการนี้ออกไปแล้วผลตอบรับไม่ดี ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้มากนักผลที่จะตามมาก็คือสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะเพิ่มขึ้นกระทบการจัดทำนโยบายการคลังอื่นๆของรัฐบาล และทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงทางการคลังเพิ่มมากขึ้น จาก “พื้นที่การคลัง” ที่ลดน้อยลง

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘อีลอน มัสก์’ หนุน ‘ทรัมป์’ พนักงานบริจาคให้‘แฮร์ริส’

ข้อมูลจากโอเพนซีเคร็ตส์ องค์กรไม่หวังผลกำไรไม่แบ่งฝักฝ่าย ผู้ติดตามข้อมูลการบริจาคเงินหาเสียงและการล...

สหภาพแรงงาน Teamsters ไม่หนุน'ทรัมป์-แฮร์ริส'

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า สหภาพแรงงานทีมสเตอร์สมีสมาชิกกว่า 1.3 ล้านคน เป็นตัวแทนของกลุ่มคนขับรถบร...

ครึ่งแรกปี67จีนครองแชมป์ซื้อคอนโดเมียนมาซิวเบอร์สองแซงรัสเซีย2ปีซ้อน

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เป...

อสังหาฯ แบกสต็อกอ่วม 1.57 ล้านล้าน เอ็นพีแอลพุ่ง ‘ทุกตลาดติดลบหนัก’

นายกสมาคมอาหารชุด หวังเร่งแก้นอมินีต่างชาติในตลาดบ้านมูลค่า 1 ล้านล้านบาท จัดเก็บภาษี หวังแบงก์ชาติล...