ส่องนโยบายทรัมป์ หุ้นกลุ่มไหนได้ประโยชน์

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ทั่วโลกจับตามองทวีความร้อนแรงขึ้นต่อเนื่อง นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนถัดไปจะส่งผลต่อภาพเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก การวางแผนจัดพอร์ทลงทุนในช่วงนี้ก่อนจะถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า จึงมีความสำคัญมาก

นับตั้งแต่ดีเบตครั้งแรก ตามมาด้วยเหตุการณ์ลอบยิง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะปราศรัยหาเสียง จนมาถึงการถอนตัวของ นายโจ ไบเดน พร้อมสนับสนุน นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันขึ้นเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ทวีความร้อนแรงและยากที่จะคาดเดา ซึ่งล่าสุดผลสำรวจชี้ว่าคะแนนนิยมของ นางกมลา แฮร์ริส และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน แม้นางกมลาจะยังไม่ได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตอย่างเป็นทางการรวมถึงยังไม่มีการเปิดเผยนโยบายหาเสียง ในขณะที่นโยบายของทรัมป์ค่อนข้างมีความชัดเจนแล้ว

โดยเราสามารถสรุปนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะส่งผลโดยตรงต่อภาพการลงทุน ได้ดังนี้ 

1.นโยบายด้านภาษี : ทรัมป์มุ่งมั่นจะปรับใช้อัตราภาษีเงินได้ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศจะลดภาษีนิติบุคคลจากระดับปัจจุบันที่ 21% ลงเป็น 20% และตั้งเป้าจะลดให้เหลือ 15% ในขณะที่ยังคงต่ออายุอัตราภาษีส่วนบุคคลที่ใช้ในปัจจุบัน โดยคงเพดานอัตราภาษีสูงสุดไว้ที่ 37% ในขณะที่ไบเดน เคยเสนอว่าจะปรับเพิ่มกลับไประดับเดิมที่ 39.6% ซึ่งการลดภาษีนิติบุคคลจะส่งผลบวกกโดยตรงต่อบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก

2.นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ : เก็บภาษีนำเข้าจากทุกประเทศ โดยเก็บจีนในอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 60% และจากประเทศอื่นๆในอัตรา 10% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศในวงกว้างโดยเฉพาะจีน

อย่างไรก็ตามประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ประเทศอื่นคาดว่าจะได้รับผลกระทบในวงจำกัดและอาจได้อานิสงค์ในกรณีที่กำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯกับจีนมีความเข้มข้นขึ้น เช่น อินเดีย รวมถึงเวียดนามที่พบว่ามีการย้ายฐานการผลิตจากจีนเข้าสู่เวียดนามอย่างมีนัยยะในช่วงที่ Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีนมีความรุนแรง ซึ่งนางกมลา แฮร์ริส มีโอกาสที่จะยังคงดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศในทิศทางคล้ายคลึงกัน หากพิจารณาจากการที่โจ ไบเดน ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

3.นโยบายด้านอื่นๆ : Trump มีแนวโน้มจะลดหย่อนกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่ไม่จำเป็น (Deregulation) เอื้อให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจการได้คล่องตัวขึ้น โดยในช่วงที่ทรัมป์ดำแรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 1 ได้มีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากขึ้น เช่น การยกเลิกบางส่วนของกฏหมาย Dodd-Frank ที่ใช้ควบคุมภาคธนาคารอย่างเข้มงวดหลังเกิดวิกฤติ Subprime ซึ่งหากทรัมป์ยังคงเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายต่อไป กลุ่มหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับนโยบายดังกล่าวมีแนวโน้มจะได้ประโยชน์ อย่างเช่น กลุ่มสถาบันการเงิน (Financial) ของสหรัฐฯ

ในช่วงเวลาที่ผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำคนสำคัญของโลกเริ่มหาเสียงด้วยนโยบายต่าง ๆ อย่างเข้มข้น จึงเป็นโอกาสสำคัญในการมองหาโอกาสการลงทุนที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับนโยบายของผู้นำคนสำคัญของโลกคนต่อไป โดยเฉพาะการลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ไม่นับรวมจีน ที่คาดว่าจะได้รับอานิสงค์จากการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPTTM Wealth Manager

 

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘ไทย’ ร่วงลงสองอันดับ! ใน IMD World Talent Ranking ปี 2024 ส่วนสิงคโปร์นำโด่ง

จากการจัดอันดับ “ประเทศที่มีความเป็นเลิศในด้านบุคลากรผู้มีความสามารถประจำปี 2024” (The 2024 IMD Worl...

Apple วางขาย iPhone 16 พร้อมนวัตกรรมความยั่งยืน ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 85%

Apple ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการวางขาย iPhone 16 ที่เน้นความยั่งยืน โด...

ผล 1 ปีกับความคืบหน้า ESG Symposium ส่งไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สู้โลกเดือด

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เห็นผลเป็นรูปธรรม ตาม 4 ข้อเสนอจากงาน ESG Symposium 2023 ทั้งสร้าง "สระบุรี...

‘ลาซาด้า’ เดินเกมทำกำไร ชู '3 กลยุทธ์' สร้างยุคใหม่อีคอมเมิร์ซ

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ลาซาด้ายังเดินหน้าลงทุนใน...