ตลาดหุ้นอินเดียดิ่ง สวนทางเศรษฐกิจโต 3 กูรู วิเคราะห์ เจาะลึก ยังน่าสนใจการเมืองเริ่มนิ่ง

ตลาดหุ้นอินเดียตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ร่วงลงมาอย่างหนัก พอ ๆ กับตลาดหุ้นไทย โดยฟันด์โฟลว์ไหลออกมาที่สุดในภูมิภาคอาเซียน 3,386 ล้านดอลลาร์ (ข้อมูลจาก Bloomberg) เกิดจากความกังวลหลังพรรค BJP และพรรคแนวร่วมชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เก้าอี้ในสภามากเท่าที่คาดไว้ 

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะดูไม่ค่อยสดใสมากนัก แต่เศรษฐกิจของอินเดียกลับมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ฟิทช์ เรทติ้งส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ระบุว่า เศรษฐกิจของอินเดียปีนี้จะสามารถเติบโตได้ถึง 7.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงก่อนหน้าไว้ที่ 7% 

ชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ย้อนกลับไปเมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นอินเดียได้รับประโยชน์จากตลาดหุ้นจีนที่เกิดปัญหาตั้งแต่ภาคอสังหาฯ ของจีน ทำให้จีดีพีจีนโตต่ำกว่าเป้า จึีงทำให้เม็ดเงินโฟลว์ต่างชาติที่อยากเข้ามาลงทุนใน Emerging Markets x China โดยไม่ลงทุนในจีนไปก่อนช่วงระยะเวลาหนึ่ง และหันมาลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งเป็น Emerging Markets ที่รองมาจากตลาดหุ้นจีน จึงทำให้ช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียจึงได้โฟลว์ไปอย่างเต็ม ๆ

หลังจากนั้น ช่วงไตรมาส 4/66 จีนเริ่มมีมาตรการกระตุ้นนโยบายต่าง ๆ ลดอัตราดอกเบี้ย MLF ล่าสุด ธนาคารกลางของสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ PBOC อาจจะมีการทำ QE ในตลาดรองหรือไม่ จึงทำให้เห็นว่า ตลาดหุ้นจีนเริ่มฟื้นกลับคืนมาได้ตั้งแต่ต้นปี จึงทำให้โฟลว์ที่มีการกระจุกตัวอยู่ที่ตลาดหุ้นอินเดีย จึีงมีการเทขายกลับมาที่ตลาดหุ้นจีนอีกครั้งหนึ่ง 

สำหรับตลาดหุ้นอินเดีย หลังจากที่พรรคของโมดิได้คะแนนเสียงต่ำลงมา 272 เสียง ทำให้การผ่านนโบายหลาย ๆ ทำให้ต้องไปได้พรรคที่เป็นขวากลาง หรือซ้ายกลาง เข้ามาร่วมในการช่วงโหวตด้วย เพราะฉะนั้น ในแง่ของการผ่านนโบาย คาดว่า โมดิจะใช้นโบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนเดิมที่เคยทำมา คือ ชูความเป็นศาสนานิยมในลักธิศาสนาฮินดูต่อ และกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงสร้างพื้นฐาน แต่ทว่า การผ่านกฎหมายจะไม่ราบรื่น เหมือนกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมาโดยพรรคเล็กจะมีนำนาจในการต่อรองมากขึ้น 

ขณะที่รัฐอานันทปุระที่มีประชากรสูงสุดในอินเดีย และเป็นรัฐเดียวที่โมดิเสียจำนวนส.ส.ไปถึง 30 -40 คน เนื่องจากว่าประชากรในรัฐนั้น แม้นโยบายดิจะมากระตุ้นเศรษฐกิจอินเดียเติบโตได้ดี แต่ทำไมประชากรในรัฐอานันทปุระยังคงมีความยากจนเหมือนเดิมตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จึงมองว่า เป็นปัญหาของโมดิในการที่เสียฐานเสียงในรัฐที่มีประชากรสูงสุด และต้องหานโยบายที่สามารถช่วยเหลือประชาชนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นอินเดียยังสามารถรีบาวน์กลับขึ้นมาได้เร็ว หลังจากที่ผิดหลังจากการเลือกตั้ง เนื่องจากว่า โมดิเริ่มเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและพร้อมจะแก้ไข รวมถีึงเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับอินเดีย จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตได้ในระดับ 6-6.5% และถือได้ว่ามีการเติบโดได้ดีที่สุดใน G7 เนื่องจากการบริโภคยังเติบโตในระดับ 7-8% อย่างต่อเนื่อง

อิศรา พูฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ดาโอ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ตลาดหุ้นอินเดียมีการแรลลี่ขึ้นมาก่อนตั้งแต่เลือกตั้ง หลังจากนั้น Sell on Fact ด้วย ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับลดลง หลังการเลือกตั้งอินเดียเสร็จสิ้น พรรคของโมดิไม่ได้คะแนนเสียงตามเป้าที่ต้องการจึงเป็นรัฐบาลพรรคร่วมรัฐบาล ประชาชนอาจจะมองว่าอาจจะทำได้ไม่เต็มที่อย่างที่เคยหาเสียงไว้ 

แต่อย่างไรก็ตาม ยังคาดว่า โมดิจะสามารถดำเนินนโยบายสร้างการเติบโตกับเศรษฐกิจได้ต่อโดยมองว่าตลาดหุ้นอินเดียจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่า ช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงของการพักฐาน

สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอินเดีย หรือกองทุนอินเดียอยู่ในพอร์ต แนะนำ ถือไว้ได้ และช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่เข้าซื้อได้ และยังไม่ใช่จังหวะขาย โดยนักลงทุนควรมีหุ้นอินเดียติดพอร์ตไว้ประมาณ 5-7% 

บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง ให้ข้อมูลเสริมอีกว่า ในช่วงต้นปีต้องยอมรับว่า โฟลว์ของตลาดหุ้นอินเดียไหลออกมาค่อนข้างมาก 

ปัจจัยบวกของอินเดียหลังจากการการเลือกตั้ง จีพีดีมีการปรับประมาณการขึ้นต่อเนื่องทุกเดือนและคาดว่าในปีนี้ จีดีพีจะโตที่ 7.8% จากนักวิเคราะห์ Bloomberg consensus ขณะที่เงินเฟ้อของอินเดียลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยเงินเฟ้อ CPI อยู่ที่ 4.8-4.9% ส่วน Core CPI อยู่ประมาณ 3.3% ซึ่งอินเดียไม่ได้มีปัญหาเรื่องของเงินเฟ้อ และคาดว่า RBI หรือธนาคารกลางอินเดียจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ ส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของอินเดีย PMI อยู่ในระดับเกือบ 60% ตั้งแต่ช่วงปีปลายปี 2023 ถึง ปี 2024 และล่าสุดผลการเลือกตั้งอินเดียเริ่มนิ่ง โมดิเข้าเป็นพรรคร่วม และคาดว่า หลังจากนี้จะเริ่มมีโมเมนตัมที่ดี จากเศรษฐกิจที่ีมีการเติบโต และเงินเฟ้อไม่ได้เป็นตัวกดดันธนาคารกลาง ขณะที่บริษัทกำไรจดทะเบียนคาดการณ์ถึงสิ้นปี 2567 อยู่ที่เติบโต 11% และในปีหน้าโตได้ถึง 14%

ส่วนโฟลว์ตลาดหุ้นอินเดียที่มีการไหลออก เนื่องจากว่าเมื่อช่วงต้นปียังคงมีความไม่มั่นใจในการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน และต้องการรอการประกาศผลอย่างเป็นทางการ เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคของโมดิ และที่เข้ามาแข่งกันมีนโยบายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงทำให้หุ้นอินเดียไหลออก แต่ถ้าย้อนกลับไปในช่วง เกือบ 5 ปีก่อนหน้า จะเห็นได้ว่า หุ้นอินเดียขึ้นมาตลอด ถือได้ว่า perfrom ที่สุดในเอเชีย ซึ่งมีการปรับขึ้นมาทุกปี อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าหลังจากนี้จะเริ่มเห็นโฟลว์ไหลเข้ามายิ่งขึ้น เพราะในอินเดียหลาย ๆ มิติเริ่มนิ่งแล้ว 

อย่างไรก็ดี หุ้นอินเดียยังคงมีความน่าสนใจ นักลงทุนควรมีติดพอร์ตประมาณไม่เกิน 10-15% อินเดียยังคงมีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Morningstar Thailand เปิดเผยว่า กองทุนหุ้นอินเดียเริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 สวนทางกับยอดเงินลงทุนในกองทุนหุ้นจีน เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว ทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ยังมีความไม่ชัดเจน ทำให้นักลงทุนบางส่วนสับเปลี่ยนการลงทุนมายังหุ้นอินเดียซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย 

โดยอินเดียเป็นหนึ่งในตลาดที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา โดยผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนหุ้นอินเดียย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 23.76% และผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 7.22% ทำให้กองทุนในกลุ่มนี้มียอดเงินลงทุนสุทธิเป็นบวกต่อเนื่องถึง  ไตรมาส 1 ของปี 2567 โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม 2567 ที่มียอดเงินลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,004 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 อย่างไรก็ตาม จากระดับราคาของตลาดหุ้นอินเดียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมามาก และตลาดหุ้นจีนเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น ทำให้ในไตรมาส 2 ของปี 2567 เริ่มมีแรงเทขายบางส่วนออกจากกองทุนหุ้นอินเดียอย่างต่อเนื่อง

กองทุนหุ้นอินเดีย ได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดย 5 เดือนแรก ปี 2567 มีเม็ดเงินลงทุนสุทธิ 2,875 ล้านบาท นับเป็นกองทุนหุ้นที่มียอดเงินลงทุนสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ผลการดำเนินงานเฉลี่ยของกองทุนหุ้นอินเดียทั้งกลุ่มในช่วง 3 เดือนอยู่ที่ 3.59% และ 1 ปี อยู่ที่ 23.76% (ข้อมูล ณ Morningstar 31 พ.ค. 67)

อย่างไรก็ตาม “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจกองทุนหุ้นอินเดีย 10 กองทุนช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนโดดเด่นสูงสุดกว่า 40% (ข้อมูล ณ Morningstar 18-20 มิ.ย.2567)

1.บลจ.ทิสโก้ 

กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย แอคทีฟ อิควิตี้ ชนิดสะสมผลตอบแทน (TISCOINA-A)

  • ผลตอบแทน 1 ปี 41.77%
  • ผลตอบแทน YTD 21.89%
  • ราคา 18 มิ.ย. 67 ที่ 19.49 บาท  
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 308.55 ล้านบาท

2.บลจ.เคดับบลิวไอ

กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ อินเดีย อิควิตี้ เอฟไอเอฟชนิดสะสมมูลค่า (KWI INDIA-A)

  • ผลตอบแทน 1 ปี 37.16%
  • ผลตอบแทน YTD 19.41%
  • ราคา 20 มิ.ย. 67 ที่  22.56 บาท
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 86.67

3.บลจ.อเบอร์ดีน

กองทุนเปิด อเบอร์ดีน อินเดีย โกรท ฟันด์ (ABIG)

  • ผลตอบแทน 1 ปี 35.37%
  • ผลตอบแทน YTD 22.75%
  • ราคา 19 มิ.ย. 67 ที่  27.39 บาท 
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 877.76 ล้านบาท

4.บลจ.ทิสโก้

กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ (TISCOIN)

  • ผลตอบแทน 1 ปี 33.76%
  • ผลตอบแทน YTD 20.19%
  • ราคา 19 มิ.ย. 67 ที่ 22.23 บาท
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 52.57 ล้านบาท

5.บลจ.กรุงไทย

กองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์ ชนิดสะสมมูลค่า (KT-INDIA-A)

  • ผลตอบแทน 1 ปี 32.63%
  • ผลตอบแทน YTD 16.67%
  • ราคา 18 มิ.ย. 67 ที่ 24.63 บาท
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 660.33 ล้านบาท

6.บลจ.บัวหลวง

กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA)

  • ผลตอบแทน 1 ปี 32.57%
  • ผลตอบแทน YTD 15.53%
  • ราคา 18 มิ.ย. 67 ที่ 18.09 บาท 
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,356.97 ล้านบาท

7.บลจ.กรุงศรี 

กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดียอิควิตี้ หน่วยลงทุนชนิดสะสมมูลค่า (KFINDIA-A)

  • ผลตอบแทน 1 ปี 30.32%
  • ผลตอบแทน YTD 12.98%
  • ราคา 18 มิ.ย. 67 ที่ 15.11 บาท 
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 547.31 ล้านบาท

8.บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย)

กองทุนเปิดอีสท์สปริง India Active Equity  (ES-INDAE)

  • ผลตอบแทน 1 ปี 28.95%
  • ผลตอบแทน YTD 13.65%
  • ราคา 18 มิ.ย. 67 ที่ 16.37 บาท 
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 996.96 ล้านบาท

9.บลจ.วรรณ

กองทุนเปิด วรรณ อินเดีย ออพพอร์ทูนิตี้ ชนิด IA  (ONE-INDIAOPP-IA)

  • ผลตอบแทน 1 ปี 28.32%
  • ผลตอบแทน YTD 16.47%
  • ราคา 19 มิ.ย. 67 ที่ 13.37 บาท 
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 31.94 ล้านบาท

10.บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

กองทุนเปิด แอล เอช อินเดีย-E ชนิดสะสมมูลค่า LHINDIAE-A

  • ผลตอบแทน 1 ปี 27.40%
  • ผลตอบแทน YTD 12.67%
  • ราคา 19 มิ.ย. 67 ที่ 13.12 บาท 
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 19.76 ล้านบาท

 

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...