2 ปรมาจารย์ 'สมชาย-นิเวศน์'เจาะลึกครึ่งปีหลัง การเมือง เศรษฐกิจ หุ้นไทย ไปต่อหรือพอแค่นี้ ?

ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปี2567 ผ่านไปแล้วกว่าเกือบครึ่งปี แม้จะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และบริหารราชการแผ่นดินมาแล้ว 8-9 เดือน และรัฐบาลก็พยายามออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนเวียน แต่ทว่าด้วยปัจจัยด้านการเมืองที่สลับซับซ้อน และรอวันปะทุ ทำให้เกิดการไม่มั่นใจของนักลงทุน รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีที่ล่าช้า ดอกเบี้ยที่สูงเป็นแรงกดดันเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นอย่างหนัก 

ทั้งนี้ "กรุงเทพธุรกิจ" พาไปเปิดมุมมองของ 2 ปรมาจารย์ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์-สมชาย และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เจาะลึกครึ่งปีหลัง ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทย ยังสามารถไปต่อได้หรือไม่ หรือควรจะหยุดการลงทุนไม่เพียงเท่านี้  
 

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ให้ข้อมูลกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้อยู่ในช่วงการขยายตัวต่ำอย่างที่เห็นได้ชัดในไตรมาส 1/67 ขยายตัวได้ 1.5% ส่วนไตรมาส 2/67 และครึ่งปีหลังมองว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นมาได้บ้าง หลังจากภาพรวมเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพราะงบประมาณปี 2567 เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่เดือน พ.ค.2567 และงบประมาณปี 2568 จะเริ่มมีการถกกันในวันที่ 19-21 มิ.ย.2567 นี้  และจะมีการนำมาใช้ในช่วงต.ค.2567 เป็นต้นไป 

โดยงบประมาณ 2 ปีนี้จะมีการนำมาช่วยได้ เพราะจากการเพิ่มงบประมาณเข้ามาประมาณ 3 แสนล้านบาท จะทำให้การใช้จ่ายของภาครัฐซึ่งติดลบในไตรมาส 1/67 น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ ขณะที่ภาคของการลงทุนภาครัฐที่ติดลบมากพอสมควรเช่นกันในไตรมาส 1/67 เชื่อว่า ในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งงบปี 2568 เป็นงบการลงทุนซึ่งปกติอยู่ที่ 20% เพิ่มขึ้นเป็น 24% ของงบประมาณทั้งหมด 

ทั้งนี้ กลุ่มที่เป็นตัวช่วยจริง ๆ มาจากการท่องเที่ยว ตั้งแต่ต้นปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวตกอยู่ที่เดือนละ 3 ล้านคน ฉะนั้นทั้งปีที่รัฐบาลตั้งไว้ 36 ล้านคนน่าจะถึงเป้า หรืออาจจะได้มากกว่านั้น ส่วนการส่งออกที่ติดลบ หากรัฐบาลเข้ามากระตุ้นให้แรงมากยิ่งขึ้นจะสามารถกลับมาเป็นบวกได้ 

ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชน ต้องยอมรับว่า การบริโภคกับการลงทุนของภาคเอกชนในไตรมาส 1/67 ขยายตัวได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 7% เพราะฉะนั้นในปีนี้การบริโภคของภาคเอกชนยังคงจะขยายตัวได้ประมาณ 3-4% แม้จะได้ไม่เท่ากับไตรมาสแรกก็ตาม ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ ยังไม่ค่อยดีนัก  

"เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีขยายตัวได้ 2.4 -2.5% และหากนำดิจิทัลวอเล็ตหากมีการดำเนินการได้จริงในไตรมาสสุดท้าย จะทำให้ตัวเลขขยับเพิ่มขึ้นมาได้ถึง 3% แต่อย่าเพิ่งดีใจเพราะ 3% ถือว่าต่ำที่สุดในอาเซียน ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า การที่มีการปรับส่วนหนึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างในด้านการแข่งขัน ซึ่งเรายังทำน้อยมาก"  

อยางไรก็ดี มองว่า ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าขณะนี้ตลาดหุ้นไทยจะโดนแรงกระทบจากปัญหาทางการเมือง ที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจไม่มากนัก ไม่ว่าจะเป็นกรณียุบพรรคก้าวไกล หรือกรณีของทักษิณ ชินวัตร แต่ที่มากระทบกับเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทยบ้างแต่ไม่มาก คือ กรณีของนายกฯ เศรษฐา หากสมมุติว่า นายกฯ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง มองว่า ไม่กระทบกับตลาดหุ้นไทย เพราะคาดว่าจะมีคนขึ้นมาทดแทนแน่นอน อาจจะเป็นคนในพรรคเพื่อไทย หรือพรรคร่วมรัฐบาล และนโยบายของรัฐบาลคาดว่า จะไม่มีการปรับเปลี่ยน แต่อาจจะมีผลกระทบในแง่จิตวิทยาชั่วคราวต่อตลาดหุ้นไทยบ้าง 

"ตลาดหุ้นแม้จะมีราคาที่แย่ที่สุดเมื่อเทียบกับในตลาดหุ้นทั่วโลก แต่หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวขึ้นกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นจะมีการฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่ง แต่การฟื้นตัวอย่างรุนแรงน่าจะยังไม่เกิด เพราะบริษัทในตลาดหุ้นยังเป็นกิจการที่เก่า ๆ โดยขาดกิจการใหม่ ที่มีการเติบโตสูงด้านเทคโนโลยีไทยไม่มี" 

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่สายเน้นคุณค่า หรือ Value Investor ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่ยังค้างคาอยู่ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ส่วนใหญ่เป็นในเรื่องของโครงสร้างประชากร หรือแม้กระทั่งระบบการเมือง รวมถึงโครงสร้างบริษษัทจดทะเบียน ที่อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนที่มากกว่านี้ โดยมองว่าในช่วงสิ้นปีนี้ ยังไม่สามารถที่จะทำอะไรไม่ได้มาก เนื่องจากงบประมาณ และการแก้ไขปัญหายังคงมีความล่าช้า ขณะที่ตัวเลขการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐาบาลออกนโยบายมา ยังไม่ชัดเจนและไม่แน่นอนในครี่งปีหลัง รวมถึงนโบายดิจิทัลวลอเล็ตซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนี่ง หากไม่สามารถออกมาได้ คาดว่าน่าจะมีผลกระทบหนักขึ้นไปอีก เพราะว่า ขณะนี้เศรษฐกิจบ้านเราไม่ค่อยดีนัก ในหลาย ๆ เรื่อง 

อย่างไรก็ดี จะมีแค่การท่องเที่ยวเท่านั้นที่ดูดี แต่ก็ยังไม่สามารถกอบกู้ให้เศรษฐกิจกับมาเติบโตได้มากนัก ขณะที่บริษัทจดทะเบียนจดเบียนการเติบโตในเร็ว ๆ นี้ค่อนข้างยาก เพราะว่า ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเก่า ๆ รวมถึงบริษัทจดทะเบียนค่อนข้างอิงกับเศรษฐกิจในประเทศค่อนข้างมาก ขณะที่ ในส่วนของผู้บริโภคยังคงมีปัจจัยหนี้สินค่อนข้างมากที่ยังคงต้องพยายามปรับลดหนี้สินอยู่ ฉะนั้นจึงมองว่า การคาดหวังยังคงไม่มีมากนัก นอกจากนี้ปัจจัยการเมืองยังคงกดดันตลาดหุ้นไทยอยู่ ซึ่งขณะนี้มีการปรับเลื่อนออกไปอีก ส่งผลให้การฟื้นตัวยังคงเลื่อนออกไปอีกเช่นกัน ทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ 

"จากปัญหาการเมืองในประเทศแม้ว่าจะหมดคดีนี้ แต่ก็จะมีคดีใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงมองว่า เราอาจจะมีปัญหาในระบบโครงสร้างต่าง ๆ ในประเทศ จึงทำให้เสถียรภาพทางการเมืองไม่ค่อยดี แม้ว่าจะเลื่อน หรือไม่เลื่อน แต่ถ้าตราบใดที่ประเทศไทยยังมีลักษณะแบบนี้ ก็จะเกิดตลอดเวลา แม้ว่า เราจะสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างได้จริง ๆ ในระบบโครงสร้าง" 

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘อีลอน มัสก์’ หนุน ‘ทรัมป์’ พนักงานบริจาคให้‘แฮร์ริส’

ข้อมูลจากโอเพนซีเคร็ตส์ องค์กรไม่หวังผลกำไรไม่แบ่งฝักฝ่าย ผู้ติดตามข้อมูลการบริจาคเงินหาเสียงและการล...

สหภาพแรงงาน Teamsters ไม่หนุน'ทรัมป์-แฮร์ริส'

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า สหภาพแรงงานทีมสเตอร์สมีสมาชิกกว่า 1.3 ล้านคน เป็นตัวแทนของกลุ่มคนขับรถบร...

ครึ่งแรกปี67จีนครองแชมป์ซื้อคอนโดเมียนมาซิวเบอร์สองแซงรัสเซีย2ปีซ้อน

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เป...

อสังหาฯ แบกสต็อกอ่วม 1.57 ล้านล้าน เอ็นพีแอลพุ่ง ‘ทุกตลาดติดลบหนัก’

นายกสมาคมอาหารชุด หวังเร่งแก้นอมินีต่างชาติในตลาดบ้านมูลค่า 1 ล้านล้านบาท จัดเก็บภาษี หวังแบงก์ชาติล...