ผลเลือกตั้งอินเดีย Modi ชนะไม่ขาด ตลาดหุ้นหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

อินเดียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก และยังเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงอีกด้วย โดยอินเดียมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก ซึ่งมีสัดส่วนประชากรวัยทำงานมากและกำลังขยายตัวต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นประเทศที่เป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่และยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกในอนาคต ทำให้อินเดียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่นักลงทุนทั่วโลกได้ให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้

โดยในช่วงที่ผ่านมาอินเดียมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาล่าง (Lok Sabha) มาตั้งแต่ในช่วงกลางเดือน เม.ย. และสิ้นสุดในวันที่ 1 มิ.ย. 2024 ที่ผ่านมา ผลการเลือกตั้งจะมีผลต่อการกำหนดทิศทางของนโยบายของประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวชี้นำความเป็นไปของเศรษฐกิจอินเดียในระยะข้างหน้า ทำให้การเลือกตั้งในครั้งนี้ก็ถือเป็นอีกเหตุการณ์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจเช่นกัน

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด หรือ บลจ.ทิสโก้ ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า Modi คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่กลับได้เสียงน้อยกว่าคาด ซึ่งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาล่าง (Lok Sabha) ได้มีการประกาศผลในวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยพรรค BJP ของ Narendra Modi ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันสามารถคว้าที่นั่งได้เพียงเพียง 240 ที่นั่ง ซึ่งถึงแม้จะยังคงเป็นพรรคที่ได้เสียงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 แต่คะแนนเสียงที่ได้ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งก่อนที่พรรค BJP ได้เสียงถึง 303 ที่นั่ง อย่างไรก็ดีเมื่อรวมเสียงกับพรรคพันธมิตรแล้ว พรรค BJP ยังคงสามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยรวมคะแนนเสียงอยู่ที่ 294 ที่นั่ง มากกว่าพรรคฝ่ายตรงข้ามที่รวมเสียงได้ 231 ที่นั่ง โดยผลเลือกตั้งที่ออกมาจริงถือว่าออกมาแตกต่างกับผลสำรวจก่อนหน้าที่คาดว่าพรรค BJP จะคว้าชัยชนะได้อย่างถล่มทลาย และขัดกับความมั่นใจของ Modi ที่คาดว่าจะคว้าได้ถึง 400 ที่นั่ง

แม้ว่าผลดังกล่าวจะแสดงให้เห็นว่า Modi จะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3 แต่ด้วยจำนวนที่นั่งในรัฐสภาที่ได้มาอย่างไม่ขาดลอย ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลถึงการผลักดันนโยบายต่างๆโดยหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของ Modi อย่างสาธารณูปโภคและการเงินปรับลงอย่างหนัก ตลาดหุ้นอินเดียทั้งดัชนี Nifty50 และ BSE Sensex ปรับลงมากกว่า -5% ในวันที่ 4 มิ.ย. หลังจากปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันก่อนหน้า

ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการเลือกตั้งไม่เป็นดังคาด

  • ปัญหาในเรื่องของความยากจนและความเหลื่อมล้ำยังไม่ถูกแก้ไข

แม้ว่าอินเดียจะหนึ่งในประเทศมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก แต่ปัญหาความความยากจนและความเหลื่อมล้ำยังคงมีอยู่ การว่างงานและค่าครองชีพยังอยู่ในระดับที่สูง การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานที่รัฐบาลพยายามผลักดันนั้นส่วนมากกระจุกตัวในเขตเมือง ไม่ได้กระจายไปสู่เขตชนบทและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นอีกกลุ่มเสียงขนาดใหญ่ที่ Modi เสียไปในการเลือกตั้งครั้งนี้

ขณะเดียวกันประชาชนในกลุ่มเยาวชนซึ่งถือเป็นอีกกลุ่มใหญ่ที่มีสิทธิในการลงคะแนนเสียง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 41% ของจำนวนประชากรที่เลือกตั้ง มีความกังวลมากขึ้นในเรื่องของอัตราการว่างงานในระดับสูง และเริ่มขาดความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของ Modi มากขึ้น โดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) พบว่า 83% ของจำนวนผู้ว่างงานในอินเดียนั้นเป็นคนอายุน้อย และ 66% ของจำนวนผู้ว่างงานเป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษา ขณะที่ผู้ที่ไม่มีการศึกษากลับมีอัตราการจ้างงานที่สูงกว่า

  • อุดมการณ์ลักษณะชาตินิยมฮินดู/กระแสชาตินิยมฮินดู

พรรค BJP นั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มขวานิยมสุดโต่ง และชูประเด็นรัฐฮินดูนิยมและความเป็นชาตินิยมฮินดู โดยมีความพยายามในการส่งเสริมพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูในกิจกรรมต่างๆ ของรัฐบาล และส่งเสริมให้โยคะให้เป็นที่นิยมในระดับสากล ซึ่งประเด็นดังกล่าวเรียกคะแนนเสียง จากกลุ่มชาตินิยม ได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มชาวฮินดูที่มีสัดส่วนมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศอินเดีย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังกระแสดังกล่าวได้เริ่มสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนบางกลุ่ม โดยรัฐบาลของ Modi ถูกวิจารณ์ว่า เลือกปฏิบัติต่อผู้นับถือศาสนาอื่น ซึ่งแสดงถึงความไม่เท่าเทียมและการแบ่งแยก ทำให้มีชาวอินเดียจำนวนมากขึ้นเริ่มปฏิเสธการผลักดันกระแสชาตินิยมที่สร้างความแบ่งแยก

แม้ว่าตลาดจะปรับตัวลดลงหลังจากผลการเลือกตั้งออกมาผิดคาด ซึ่งทำให้เกิดความกังวลถึงการผลักดันนโยบายต่างๆ เป็นเพียงปัจจัยกดดันในระยะสั้นเท่านั้น ถ้าหากย้อนดูตลาดหุ้นอินเดียหลังจากจบการเลือกตั้งจะเห็นได้ว่าตลาดปรับตัวลดลงหลังจากการเลือกตั้งประมาณ 3 เดือนแรก และจะค่อยกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนหลังจากการเลือกตั้ง สอดคล้องกับกระแสเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยไหลกลับเข้ามาหลังจากการเลือกตั้งในช่วงประมาณ 16 – 24 สัปดาห์ ขึ้นไป

โดยการปรับฐานในช่วงสัปดาห์นี้ สาเหตุหลักมาจากผลการเลือกตั้งที่ผิดความคาดหมาย ก็อาจจะเป็นปัจจัยกดดันแค่ระยะสั้นเท่านั้น เพราะหากตัดปัจจัยด้านการเมืองออกไป สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้มาจากความคาดหวังในประเด็นผลการเลือกตั้งอย่างเดียว แต่มาจากทั้งด้านเศรษฐกิจ ที่ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโตได้ดี เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ในปี 2023 ไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดีย

และยังมีปัจจัยสนับสนุนระยะยาวจากโครงสร้างของประชากรอินเดียที่นอกจากจะมีจำนวนมากที่สุดในโลกแล้ว ยังมีสัดส่วนประชากรวัยทำงานที่สูงมาก ส่งผลให้นักลงทุนคาดหวังว่าอินเดียจะเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ดีที่สุดของโลก

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...