‘สหพัฒน์’ ลุย 5 ธุรกิจแห่งอนาคต ชู New S-Curve สร้างเติบโต

แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทมีนับร้อย และสินค้ากว่า 1,000 รายการ ทว่า ในปี 2567 สหพัฒน์ มีการประกาศทิศทางธุรกิจแห่งอนาคตที่จะเข้ามาเสริมแกร่งอาณาจักร ภายใต้ “SAHA GROUP LEADING THE FUTURE WITH SYNERGY AND SHARING” ซึ่งมี 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ(Bio Tech) 2.ความรู้(Knowledge) 3.แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ(Platform) 4.บริการ(Service) และ 5.Sustainability

ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ พิภพ โชควัฒนา กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28 บริษัทจะมีการลงนามความร่วมมือและบันทึกข้อตกลงรวม 16 ฉบับ ซึ่งมากสุดตั้งแต่เคยจัดงานมา เพื่อรองรับการขับเคลื่อนธุรกิจแห่งอนาคต ถือเป็นการเพิ่มพอร์ตโฟลิโอของเครือสหพัฒน์

ทั้งนี้ 5 ธุรกิจแห่งอนาคต อย่างเทคโนโลยีชีวภาพหรือไบโอเทค ถือเป็นการเติบโตใหม่หรือ New S-Curve แน่นอนอยู่แล้ว หากมองในประเทศไทยธุรกิจดังกล่าวถือว่ามีค่อนข้างน้อย ส่วนการศึกษาจะเห็นการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ในการเพิ่มทักษะด้านอาชีพนอกเหนือจากการเรียน เป็นต้น

ขณะที่ธุรกิจเดิมของเครือสหพัฒน์ เช่น ภาคการผลิตต่างๆ ไม่ได้มองว่าปรับตัวลดลง เพราะอีกด้านสหพัฒน์ยังได้รับอานิสงส์จากผู้ผลิตหลายบริษัทที่ย้ายฐานจากประเทศจีนมายังประเทศไทย และป้อนบริษัทในเครือ ทั้งกลุ่มเสื้อผ้า เครื่องหนัง ฯ จากยุคแรกๆที่ออกมาจากจีน จะกระจายฐานไปยังเวียดนาม

“การรุกธุรกิจใหม่แห่งอนาคต อยู่ในช่วงเริ่มต้น เรามองบางกลุ่มเป็น New S-Curve เพราะบางหมวดเราไม่เคยทำมาก่อน อีกด้านเป็นการเพิ่มพอร์ตฯเพื่อสร้างการเติบโต ซึ่งแนวทางการลงทุนของเครือสหพัฒน์ เราไม่ปิดกั้นสิ่งใหม่ๆ ส่วนธุรกิจเดิม หากมีโอกาสเราก็เดินหน้าต่อ”

สำหรับ 5 กลุ่มธุรกิจใหม่ ไบโอเทค จะร่วมมือพันธมิตรจีนพัฒนาสินค้าตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกมิติ ธุรกิจบริการ จะลุยการบริการด้านสุขภาพ การพัฒนาที่พักอาศัยครบวงจรรับสังคมสูงอายุ รุกบริการความงาม โดยร่วมกับ FuFu แฮร์ซาลอนอันดับ 1 จากญี่ปุ่น เพื่อต่อยอดธุรกิจร้านเสริมสวยในประเทศไทย รวมถึงบริการอสังหาริมทรัพยื จะพัฒนาที่อยู่อาศัยเจาะทุกกลุ่ม

ส่วนความรู้ จะเสริมทักษะการผลิตคอนเทนต์ด้านแฟชั่นดีไซน์ การพัฒนาคนรองรับการขยายตัวภาคการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยเครือสหพัฒน์ มีการร่วมกับ Zhen Ding Technology HoldingLimited ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นวงจรพิมพ์อันดับ 1ของโลก เข้ามาลงทุนในไทยมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 จะนำร่องเฟสแรกลงทุน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งโปรเจคดังกล่าวจะมีการจ้างงานระดับ 7,000 คน นอกจากนี้ จะร่วมกับแพลตฟอร์มไลฟ์คอมเมิร์ซอันดับ 1 ของเกาหลีใต้อย่าง “LaLa Station” ยกระดับการชอปปิงในไทยและร่วมมือสู่ตลาดระหว่างประเทศด้วย ขณะที่มิติความยั่งยืนจะร่วม SC Grand นำเศษผ้าในอุตสาหกรรมมาสร้างสรรค์สินค้าแฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สำหรับแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง “ธรรมรัตน์” คาดการณ์เศรษฐกิจกำลังซื้อ “ไร้สัญญาณบวก” ขณะเดียวกัน “ปัจจัยลบ” ยังอยู่เหมือนเดิม ทำให้ธุรกิจของ ไอ.ซี.ซี.ฯ ต้องทบทวนแผนทุกเดือน ส่วนภาพไตรมาสแรกกำลังซื้อไม่ดี ทำให้บริษัทปรับเป้าหมายยอดขายทั้งปีเติบโต 1-2% เท่านั้น โดยแบรนด์ที่มีโอกาสโตคือกลุ่มคาแร็กเตอร์ชัดเจน เช่น ลาคอสต์

“กำลังซื้อไตรมาสแรกไม่ดี ไม่มีปัจจัยบวก การทำธุรกิจเราต้องระมัดระวังไว้ก่อน หากอยู่ในภาวะไม่ดีต้องทำดำเนินการอย่างไร หากประเมินว่าดี เราเจ็บตัวทุกที และตอนนี้เราไม่เห็นมีสัญญาณบวกอะไรที่จะทำให้บริษัทฟื้นตัว เติบโต”

พิภพ เห็นสอดคล้องภาพรวมกำลังซื้อไตรมาสแรกไม่ดี ส่วนครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่ต้องระวัง เช่น ภูมิรัฐศาสตร์โลก จากปีก่อน ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ทำให้บริษัทต้องวางแผนธุรกิจ ดูแลโครงสร้างภายในพร้อมรุกอยู่เสมอ

“ธุรกิจปีนี้ท้าทาย เพราะกำลังซื้อผู้บริโภคหายไป และจะหายนานขนาดไหนยังประเมินไม่ได้ ส่วนการทำตลาดกระตุ้นยอดขาย ผู้บริโภคไม่สนใจซื้อ เทรนด์นี้ยังมีอยู่ หากมีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ท ช่วยแน่ๆ แต่ช่วยแล้วเป็นอย่างไร ตอบยาก อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเครือสหพัฒน์ปีนี้ กลุ่มอาหารยังดี เพราะเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพ ผู้คนต้องกินไม่ว่ากำลังซื้อมีมากหรือน้อย”

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ