รัฐจ่อรื้องบฯ 68 - แผนการคลังระยะปานกลาง หาแหล่งเงินทำ 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

โครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจสำคัญของรัฐบาลใกล้จะได้ข้อสรุปในเรื่องของแหล่งเงิน 5 แสนล้านบาท โดยนายกรัฐมนตรีสั่งให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณหารือกันก่อนเสนอที่ประชุมอีกครั้ง 10 เม.ย.นี้ 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2567 โดยใช้เวลาเพียง 20 นาที

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้เข้าร่วมด้วยตัวเอง แต่มอบหมายให้นายรณดล นุ่มนนท์รองผู้ว่าการ ธปท.ประชุมชุมแทน เพราะติดภารกิจสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สอบถามในที่ประชุมด้วยว่า “ทำไมผู้ว่าแบงก์ชาติไม่มาประชุม”

 

นายเศรษฐา กล่าวหลังการประชุมว่า ที่ประชุมรับทราบเศรษฐกิจมีปัญหาจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะ 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยต่ำมาตลอด โดยเฉพาะเมื่อเทียบประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโตสูงกว่าไทยเท่าตัว และที่ประชุมรับทราบข้อเสนอกระทรวงการคลัง 

ทั้งนี้ที่ประชุมได้เสนอมอบหมายแต่ละหน่วยงานสรุปข้อมูลมาเสนอการประชุมในวันที่ 10 เม.ย.2567 ประกอบด้วย

1.กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ สรุปแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท นอกเหนือจากการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

2.กระทรวงพาณิชย์สรุปหลักเกณฑ์ของร้านค้าและสินค้าที่จะเข้าร่วมโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 

3.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สรุปการพัฒนาระบบแบบเปิดเพื่อให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจระเป๋าเงินดิจิทัลเข้าร่วมโครงการได้

4.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) วางกรอบการตรวจสอบ วินิจฉัย ร้องทุกข์กล่าวโทษ และการเรียกเงินคืนกรณีพบเห็นการทุจริตในโครงการ 

นอกจากนี้ เมื่อได้ข้อสรุปในวันที่ 10 เม.ย.2567 จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน เม.ย.2567 โดยรัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ และในไตรมาสที่ 4 เงินดิจิทัลวอลเล็ตจะถึงมือประชาชนต่อไป

“ทุกภาคส่วนเห็นด้วยหมดทั้งเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ ธปท.เห็นด้วยในขั้นตอนทั้งหมด และขอให้คอยฟังข่าวดีในวันที่ 10 เ.ม.ย.นี้”

กรรมการไม่ติดใจความเห็น ป.ป.ช.

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลยืนเดินหน้านโยบายเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ตหลังรับฟังความเห็นทุกฝ่ายแล้ว ซึ่งการประชุมบอร์ดชุดใหญ่ครั้งนี้ได้เดินหน้าต่อและให้ประชาชนรอฟังข่าวดีวันที่ 10 เม.ย.นี้ จะได้ข้อสรุปทั้งหมด โดยเฉพาะแหล่งเงินที่จะใช้ในโครงการ

ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฉบับจริง โดยที่ผ่านมารัฐบาลตรวจสอบข้อเสนออย่างละเอียด โดยการประชุมครั้งก่อน ผู้ว่าฯ ธปท.ขอนำข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช.และข้อหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปศึกษา แต่ครั้งนี้ไม่มีการพูดถึงรายละเอียดเรื่องนี้

คลังเผย 3 แนวทางแหล่งเงินดิจิทัลวอลเล็ต

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณหาข้อสรุปแหล่งเงิน 5 แสนล้านบาท โดยที่ผ่านมาโครงการอาจล่าช้าเพราะมีการรับฟังความเห็นทุกฝ่ายอย่างรอบครอบ ซึ่งยังยืนบนหลักการของการมีความปลอดภัย มีวินัยทางการเงินการคลังและขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ โดยปัจจุบันมี 3 แนวทางที่เป็นไปได้ คือ

1.การใช้เงินกู้เพื่อดำเนินโครงการอย่างเดียว ซึ่งเป็นแนวทางเดิมที่ได้มีการหารือกันมาก่อนหน้านี้ โดยการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 500,000 ล้านบาท

2.การใช้งบประมาณ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 โดยรัฐบาลจำเป็นต้องใช้โครงการนี้กระตุ้นเศรษฐกิจก็จะดำเนินการได้ โดยอาจปรับวงเงินในการจัดทำงบประมาณปี 2568 ซึ่งเงื่อนไขตรงนี้ที่ผ่านมาไม่มีมาก่อน แต่ขณะนี้มีทางเลือกในการใช้งบประมาณ 2568 เข้ามาเป็นทางเลือกเพิ่มเติม 

ขณะที่งบประมาณปี 2567 จะนำมาใช้หรือไม่นั้น ต้องหารือสำนักงบประมาณอีกครั้ง เช่นเดียวกันหากใช้งบประมาณปี 2568 แล้วต้องปรับเปลี่ยนกรอบเงินงบประมาณใหม่ก็ทำได้เช่นกัน โดยปรับได้ให้เป็นปัจจุบันและดีที่สุดจึงไม่ต้องการให้ยึดแบบเดิมว่าตัดสินใจไปแล้วเปลี่ยนไม่ได้

3.การใช้ผสมกันระหว่างเงินกู้กับเงินงบประมาณ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อาจทำได้หากมีความเหมาะสม

“รัฐบาลยืนยันว่าเป็นนโยบายจำเป็นของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ต้องดูกลไกเช่นกัน ส่วนจะใช้งบประมาณปี 2567 มาใช้ด้วยหรือไม่ต้องขอหารือสำนักงบประมาณก่อน เพราะเพิ่งได้การบ้านมา" 

ทั้งนี้ ปัจจุบันสถานการณ์ปรับเปลี่ยนไปจึงต้องดูแหล่งเงินใดเหมาะสมที่สุด ซึ่งจะได้ความชัดเจนวันที่ 10 เม.ย.นี้ ซึ่งจะแถลงให้ประชาชนรับทราบทั้งหมดและต้องเสนอ ครม.ภายในเดือน เม.ย.นี้ จะไม่ได้อยู่ในชั้นของกรรมการเท่านั้น

ช่องทางพ.ร.บ.โอนดึงงบฯเข้าโครงการ  

นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ให้ยึดกรอบวงเงินเดิม 500,000 ล้านบาท และยืนยันดำเนินการแน่นอน แต่ยังไม่สรุปแหล่งเงินจึงมอบหมายกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ หารือข้อดีข้อเสียแต่ละแนวทาง

ส่วนประเด็นกรณีปรับกรอบงบประมาณขาดดุลเพิ่ม 300,000 ล้านบาท เพื่อมาใช้ในโครงการนี้ นายเฉลิมพลตอบว่า ยังไม่สรุปในที่ประชุมฯ ส่วนจะเปลี่ยนแปลงกรอบงบประมาณ 2568 หรือไม่ ในทางงบประมาณจะทำได้หรือไม่ต้องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวก่อน และเสนอที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่วันที่ 10 เม.ย.2567

ขณะที่ประเด็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ผ่านรัฐสภาแล้วปรับมาใช้ในโครงการนี้ได้หรือไม่ นายเฉลิมพล กล่าวว่า ในอดีตที่เคยดำเนินการเมื่อการใช้จ่ายงบไม่เป็นไปตามแผน หรือไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยอาจออก พ.ร.บ.โอนงบประมาณมาเพื่อให้รัฐบาลนำมาใช้จ่ายในโครงการที่กำหนดไว้ได้

“ในอดีตเคยออก พ.ร.บ.โอนงบประมาณ เข้ารัฐสภา แต่ตอบไม่ได้ว่าจะทำหรือไม่ หลังจากจัดสรรงบประมาณแล้วต้องดูว่าประสิทธิภาพการใช้งบเป็นอย่างไร”

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการหลายข้อ โดยเรื่องความพร้อมของระบบนั้น นายกรัฐมนตรีระบุว่าในการเปิดให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนต้องทำระบบให้พร้อมห้ามให้ระบบล่มเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานซึ่งมีการเปรียบเทียบโครงการคนละครึ่งที่ใช้เวลาในการปรับระบบ 3 เดือน

รับใช้งบประมาณมีข้อจำกัด 

สำหรับการหาแหล่งเงินมีข้อเสนอจากหน่วยงานจำนวนมาก ซึ่งมีความเห็นว่ารัฐบาลควรใช้แหล่งเงินจากงบประมาณประจำปี 2567-2568 ดีกว่าการออก พ.ร.บ.กู้เงิน ซึ่งมีความเสี่ยงทางกฎหมายทั้งการขัด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และรัฐธรรมนูญ 

ทั้งนี้กรณีใช้งบประมาณรายจ่ายปี 2567 มาใช้ในโครงการนี้บางส่วน มีประเด็น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2567 เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เพราะผ่านรัฐสภา 3 วาระ และรอประกาศใช้ จึงต้องใช้วิธีการออก พ.ร.บ.โอนงบประมาณ เพื่อเปลี่ยนแปลงรายการจากการที่หน่วยงานราชการบางแห่งไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันมารวมเป็นงบประมาณก้อนใหม่เพื่อใช้โครงการนี้

ส่วนการใช้งบประมาณปี 2568 มาเป็นแหล่งเงินในการทำโครงการนี้ทำได้ แต่ต้องคำนึงถึงกรณีมีการตั้งงบประมาณเพิ่มเติมจำนวนมากจะทำให้ต้องปรับกรอบวงเงินงบประมาณปี 2568 จากเดิมที่เสนอ ครม.เห็นชอบ วงเงิน 3.6 ล้านล้านบาท และขาดดุลงบประมาณ 7.13 แสนล้านบาท 

รวมทั้งหากตั้งงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นในงบประมาณในปี 2568 อาจจะเกิน 1 ล้านล้านบาท เพราะหากตั้งงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 287,000 ล้านบาท จะทำให้ยอดการขาดดุลงบประมาณปี 2568 เกิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะขาดดุลงบประมาณสูงสุด

หนี้สาธารณะจ่อขยับสูงหากขาดดุลเพิ่ม 

นอกจากนี้หากขาดดุลงบประมาณเพิ่มสูงมากจะทำให้ระดับดุลการคลังต่อจีดีพีสูงขึ้นเร็วจากเดิมที่จะอยู่ที่ระดับ 3.56% ต่อจีดีพี และหนี้สาธารณะอยู่ที่ 63.73% ในปี 2568 จะขยับเพิ่มขึ้นสูงโดยดุลการคลังต่อจีดีพีอาจขึ้นไปอยู่ใกล้กับระดับ 4% จากระดับความยั่งยืนทางการคลังที่อยู่ในระดับไม่เกิน 3% 

และหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะเพิ่มขึ้นไปใกล้เคียงกับระดับ 66% ต่อจีดีพีจากระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่อยู่ที่ 70% ต่อจีดีพี ซึ่งทำให้พื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ที่จะรองรับวิกฤติต่างๆเหลือเพียง 4% เท่านั้น

“การเลือกแนวทางใช้งบประมาณ แม้เป็นแนวทางที่มีความคิดเห็นที่สนับสนุนจากหลายฝ่าย แต่เป็นแนวทางที่มีข้อจำกัดในการจัดทำงบประมาณพอสมควร เพราะงบประมาณมีข้อจำกัด และมีข้อกำหนดทางกฎหมาย เช่น การกำหนดงบลงทุนไว้ 20% หากมีโครงการใดเข้ามาแล้วต้องการใช้งบประมาณจำนวนมากในงบประมาณปี 2568 จะกระทบอีกหลายปีงบประมาณ และต้องทบทวนและจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2571”แหล่งข่าวระบุ

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...