‘เศรษฐา’ ดันแผน ‘ฮับท่องเที่ยวโลก'ปี73 เพิ่มรายได้ทุกจังหวัด

รัฐบาลได้ประกาศแผน  “IGNITE THAILAND” โดยผลักดัน 8 วิสัยทัศน์เพื่อสร้างโอกาสให้ประเทศไทยเป็นผู้นำเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก โดยด้านหนึ่งคือตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว (Tourism Hub) ของโลกภายในปี 2573 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะประกาศแผนนี้ร่วมกับกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเป็นทิศทางการยกระดับการท่องเที่ยวของประเทศ 

น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สั่งการให้หน่วยงานภายใต้สังกัด จัดการประชุมเชิงปฎิบัติการ (เวิร์คช้อป) เพื่อตอบโจทย์นายนายกรัฐมนตรีที่มุ่งพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งโอกาสทางเศรษฐกิจระดับโลกใน 8 ด้านภายในปี 2573 

สำหรับหนึ่งในแผนงานจะมีการตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว (Tourism Hub) โดยจะมีการเวิร์คช้อปช่วงวันที่ 12-14 มี.ค.2567 เพื่อจัดทำแผนนำเสนอนายกรัฐมนตรี ในช่วงประมาณวันที่ 15 มี.ค.2567

“รมว.ท่องเที่ยวได้สั่งการให้ ททท.เป็นแม่งานเชิญหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในธุรกิจท่องเที่ยวมาร่วมแสดงความเห็นว่า การไปสู่เป้าหมายนั้นจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อจัดทำออกเป็นแผนและให้นายกรัฐมนตรีประกาศภายในเดือน มี.ค.นี้" 

จ่อประกาศแผนดันท่องเที่ยว

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเหมือนที่นายกรัฐมนตรีจะประกาศแผนการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินหรือAviation Hub ในวันที่ 1 มี.ค.นี้ ซึ่งต่อจากนี้จะเริ่มเห็นการทำแผนในเชิงลึกของรัฐบาลในด้านต่างๆ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งหลังจากประกาศเรื่องของการเป็นศูนย์กลางการบิน การพัฒนาการท่องเที่ยวก็จะเป็นเรื่องต่อเนื่องที่รัฐบาลจะประกาศเช่นกัน

สำหรับหน่วยงานที่จะเชิญมาร่วมเวิร์คช้อป ประกอบด้วย หน่วยงานภายในกระทรวงท่องเที่ยวจะมาทั้งหมด เช่น กรมการท่องเที่ยว บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ 

ร่วมถึงหน่วยงานพันธมิตรด้านการบิน เช่น สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(CAAT) กรมท่าอากาศยาน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. คณะกรรมการบริหารการท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (ระยอง-พัทยา) ตลอดจนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบินด้วย

ดัน 4 แผนยกระดับรายได้ 

โดยหัวข้อในการเวิร์คช้อป ประกอบด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ 

1.การยกระดับเมืองหลักเมืองรอง ชูซอฟต์พาวเวอร์ของแต่ละจังหวัด เพื่อพัฒนาทุกจังหวัดเป็นเมืองท่องเที่ยว ซึ่งแนวคิดของนายกรัฐมตรีต้องการพัฒนาให้ทุกจังหวัดเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสามารถเพิ่มรายได้ และเพิ่มการจ้างงานจากภาคการท่องเที่ยว และภาคบริการ 

2.การผลักดันประเทศไทยเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ให้เกิดเทศกาลระดับโลก ซึ่งข้อเสนอที่จะเสนอให้รัฐบาลจะมีเรื่องของการยกระดับการทำโครงสร้างพื้นที่รองรับการจัดอีเวนท์ หรือคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ โดยอาจมีการลงทุนเพิ่มของภาครัฐหรือภาคเอกชน หรือร่วมกันในลักษณะการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งเมื่อมีความพร้อมในเรื่องนี้มั่นใจว่าจะมีอีเวนท์ หรือคอร์นเสิร์ตขนาดใหญ่ มาจัดในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งในภูมิภาคนี้เราต้องแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ 

 3.การผลักดันให้มี One Visa Free ของภูมิภาคอาเซียน เหมือนที่สหภาพยุโรป (อียู) ที่ใช้วีซ่าเชงเก้นเข้าได้ทุกประเทศในอียู เพื่อสร้างการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวจากไทยไป EU 

4.การสร้างสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ปลดล็อคกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว เพื่อเอื้อให้ผู้จัดงานระดับโลกสามารถเข้ามาจัดแสดงในประเทศไทย และส่งเสริมแนวคิดประเทศไทยจะไม่หลับไหล ซึ่งนายกรัฐมนตรีประกาศแนวคิดนี้แล้ว 

“การไปสู่เป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ทาง ททท.ต้องไม่ทำคนเดียว และทำคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทุกคนต้องเป็นฮีโร่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล ภาคเอกชน ประชาชนในพื้นที่ ทุกคนต้องลุกขึ้นเดินไปร่วมกันสร้างความพร้อมในแต่ละเมืองให้เป็นเมืองท่องเที่ยว จากนั้น ททท.จะหานักท่องเที่ยวมาเติมในพื้นที่ให้”

น.ส.ฐาปนีย์ กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว “เที่ยวใต้สุดใจ” ที่จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส  เพื่อสร้างเศรษฐกิจและยกระดับรายได้ของคนในพื้นที่ผ่านการท่องเที่ยว นายกฯได้พูดเองว่าเมื่อลงมาพื้นที่นี้สัมผัสได้ด้วยตัวเองว่าบรรยากาศเหมือนเชียงใหม่ ท่องเที่ยวได้สบายและมีรอยยิ้มของในพื้นที่ซึ่งมีความหมาย 

“เมื่อเห็นแล้วอยากให้นักท่องเที่ยวมาจริงๆ สร้างความประทับใจ มีรอยยิ้มที่จริงใจ มีเสน่ห์ของพหุวัฒนธรรมที่จะยกระดับพัฒนาต่อไปได้ ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ที่พัก แต่จะต้องเพิ่มจำนวนและยกระดับเพิ่มขึ้น ร้านอาหาร สาธารณูปโภคและเพิ่มทักษะและบริการให้กับคนในพื้นที่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต”

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...