จับตา! เศรษฐกิจ ‘เยอรมนี’ ส่อ Recession ตาม ญี่ปุ่น-สหราชอาณาจักร

ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอย่างญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หลังจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวสองไตรมาสติดต่อกัน

จีดีพีในไตรมาสที่สามและสี่ของญี่ปุ่นปีที่แล้วติดลบ 3.3% และ 0.4% ตามลำดับจากการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาครัฐลดน้อยลง ขณะที่จีดีพีของสหราชอาณาจักรหดตัว 0.1% ในไตรมาสที่สามและ 0.3% ในไตรมาสที่สี่ของปีเดียวกัน เนื่องจากตัวเลขจากภาคการส่งออกบริการและการบริโภคภาคครัวเรือนที่ลดน้อยลง

โดยการปรับตัวเข้าสู่สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นทำให้เสียตำแหน่งมหาอำนาจเชิงเศรษฐกิจอันดับสามของโลก (เป็นรองจากสหรัฐและจีน) ให้ประเทศเยอรมนี

มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 5 อันดับแรก 

  1. สหรัฐอเมริกา
  2. จีน
  3. เยอรมนี
  4. ญี่ปุ่น
  5. อินเดีย

ทว่าล่าสุด (20 ก.พ.) ธนาคารกลางเยอรมัน (Deutsche Bundesbank) เผยว่า เศรษฐกิจเยอรมนี ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปมีแนวโน้มเข้าสู่สภาวะถดถอยเช่นเดียวกันในไตรมาสที่ 1 / 2567 เนื่องจากอุปสงค์ภายนอกอ่อนแอจากผู้บริโภคยังคงระมัดระวังและการลงทุนภายในประเทศถูกระงับด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่สูง

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเยอรมนีประสบปัญหาอย่างมากนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนในปี 2565 ทําให้ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น รวมทั้งขณะนี้เศรษฐกิจของเยอรมนีซึ่งพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเป็นหลักไม่มีการเติบโตหรือเติบโตแบบติดลบมาสี่ไตรมาสแล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งยูโรโซน

รายงานจากธนาคารกลาง เผยว่า "เศรษฐกิจเยอรมนียังไม่ฟื้นตัว" พร้อมเสริมว่า

"ไตรมาสแรกของปี 2567 ผลผลิตทางเศรษฐกิจอาจลดลงเล็กน้อยอีกครั้ง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าจีดีพีจะลดลงติดต่อกันสองไตรมาสและเข้าสู่สภาวะถดถอยทางเทคนิค”

ผลการดําเนินงานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอนี้ทําให้เกิดคําถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของรูปแบบเศรษฐกิจของเยอรมัน และนักวิชาการส่วนหนึ่งโต้แย้งว่าอุตสาหกรรมหนักที่พึ่งพาพลังงานส่วนใหญ่กําลังถูกกําหนดราคาจากตลาดต่างประเทศ​ ซึ่งอาจจำเป็นต้องหาเครื่องจักรทางเศรษฐกิจใหม่หรือไม่ ท่ามกลางอุปสงค์ภาคอุตสาหกรรมต่างประเทศที่และคําสั่งซื้อมีแนวโน้มลดลง

ด้านบทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ส เผยว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ธนาคารกลางยุโรปผลักดันอัตราดอกเบี้ยให้สูงเป็นประวัติการณ์เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ อัตราการขยายตัวของค่าแรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยยังนำไปสู่การนัดหยุดงานในภาคส่วนสําคัญ เช่น การขนส่ง ทั้งหมดอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตในไตรมาสนี้เช่นกัน

อ้างอิง

Reuters

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘ไทย’ ร่วงลงสองอันดับ! ใน IMD World Talent Ranking ปี 2024 ส่วนสิงคโปร์นำโด่ง

จากการจัดอันดับ “ประเทศที่มีความเป็นเลิศในด้านบุคลากรผู้มีความสามารถประจำปี 2024” (The 2024 IMD Worl...

Apple วางขาย iPhone 16 พร้อมนวัตกรรมความยั่งยืน ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 85%

Apple ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการวางขาย iPhone 16 ที่เน้นความยั่งยืน โด...

ผล 1 ปีกับความคืบหน้า ESG Symposium ส่งไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สู้โลกเดือด

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เห็นผลเป็นรูปธรรม ตาม 4 ข้อเสนอจากงาน ESG Symposium 2023 ทั้งสร้าง "สระบุรี...

‘ลาซาด้า’ เดินเกมทำกำไร ชู '3 กลยุทธ์' สร้างยุคใหม่อีคอมเมิร์ซ

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ลาซาด้ายังเดินหน้าลงทุนใน...