บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้าปี 67 AUM โตแตะ 5.86 แสนล. รุกพัฒนาบริการลงทุนแบบดิจิทัล

นางสุภาพร  ลีนะบรรจง  กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า  ในปี2567 บริษัทตั้งเป้าหมายมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM)  ที่ 580,000 ล้านบาท เติบโต 2.1%  สอดคล้องก้บปีนี้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกมีความชัดเจนมากขึ้น Earnings ของตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยตลาดคาดว่าจะโตที่ 10% ซึ่งตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนายังมีแนวโน้มฟื้นตัวจากแรงหนุนของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าฝั่งประเทศที่พัฒนาแล้ว 

ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทย ที่ยังมีความน่าสนใจจากการปรับตัวลดลงมาและมีอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566  โดยปัจจัยบวกสำคัญในระยะสั้นคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัล  และเศรษฐกิจไทย ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ  การฟื้นตัวของภาคการส่งออก  และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนของนโยบาย Digital Wallet  และภัยแล้งจากเอลนีโญ่

ดังนั้นในปีนี้ บริษัทวางกลยุทธ์ ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการกองทุนควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม  ให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในวงกว้าง  เน้นการพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิทัล โดยเฉพาะบน @ccess Mobile เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทั้งลูกค้ากองทุนรวมและลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมทั้งเพิ่มตัวแทนขายอิสระให้มากขึ้นเช่นกัน

สำหรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้จะมีการเสนอกองทุนขาย Thai ESG และกองทุนกลุ่ม FIF ที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับสภาวะตลาดเพิ่มเติม  โดยเร็วๆ นี้จะมีการเสนอขายกองทุนที่มีการกระจายลงทุนในหุ้นโลกคุณภาพดี เป็นต้น

ขณะที่ในปีที่ผ่านมามี AUM ที่  568,000 ล้านบาท  เติบโต 5% ซึ่งยังเติบโตใกล้เคียงเป้าหมาย แม้ว่าตลาดปรับตัวลง ทั้งนี้ กองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลัก มีสัดส่วน AUM ประมาณ 73% ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงและกองทุนส่วนบุคคล  มีสัดส่วน 27% 

ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอุตสาหกรรม มีอัตราการเติบโตที่ 6%  (อุตสาหกรรม 5.46%)  ด้านฐานลูกค้าก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 4 หมื่นบัญชี คิดเป็น 9% ของฐานลูกค้าในปีก่อน  

 

นายศิระ  คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี คาดการณ์ แนวโน้มหุ้นไทยปีนี้ จะได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึงค่าเงินบาทที่เริ่มมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น และมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยหลังจากขายออกไปกว่า 1.92 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา   

 

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า SET Index ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ระดับ 1,552 จุด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 9.61% จากสิ้นปี 2566 บนสมมติฐาน EPS ที่ 96.8 บาท และค่า PER ที่ 16 เท่า  สำหรับกลุ่มหุ้นน่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ มี 4 กลุ่ม ได้แก่  ท่องเที่ยว  โรงแรม สายการบินและท่าอากาศยาน  และหากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะหนุนกลุ่มหุ้นค้าปลีก อุปโภคบริโภค 

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่  การเลือกตั้งของสหรัฐ  ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน  และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์  นอกจากนี้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง

ครั้งแรก 

รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงรวมตลอดทั้งปีที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 75 – 150 bps นั้น ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกมีความผันผวนรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่อาจทำให้เกิดแรงเทขายขึ้นได้เป็นระยะ ตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศออกมาได้เช่นกัน 

 

แนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศปี 2567 มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นหากเปรียบเทียบกับช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแต่อาจมีความผันผวนอยู่บ้าง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ได้ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุนมากขึ้น  ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไปและอยู่ในระดับขอบล่างของเงินเฟ้อเป้าหมายที่ธปท.กำหนดไว้ที่ร้อยละ 1.00 - 3.00 

 

ดังนั้นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนมีโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้อีก  การปรับอายุคงเหลือเฉลี่ยกองทุนด้วย  กลยุทธ์เชิงรุกช่วยเพิ่มโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับกองทุนได้จากความผันผวนของตลาดตลอดทั้งปี  ทั้งนี้ แนะนำให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือเฉลี่ยที่ยาวขึ้นควบคู่ไปกับการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนคุณภาพดี

 

“ธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2567 ได้แก่ 1.การลงทุนในตราสารหนี้เพราะได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยสหรัฐกลับตัวเป็นขาลง  โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFTRB และ KF-CSINCOM  2.การลงทุนในตลาดประเทศกำลังพัฒนาซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว  โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KF-EM, KFINDIA และ KFVIET  3.การลงทุนหุ้นคุณภาพสูงที่มีหนี้อยู่ในระดับต่ำ มีอัตราการทำกำไรสูง มีกระแสเงินสดดี และมีความทนทานในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดี  โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFGBRAND  4.การลงทุนในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตได้สูงกว่าตลาดโดยรวม รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาวเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และการฟื้นตัวของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFHTECH  5.การลงทุนในหุ้นไทยที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี”

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘ไทย’ ร่วงลงสองอันดับ! ใน IMD World Talent Ranking ปี 2024 ส่วนสิงคโปร์นำโด่ง

จากการจัดอันดับ “ประเทศที่มีความเป็นเลิศในด้านบุคลากรผู้มีความสามารถประจำปี 2024” (The 2024 IMD Worl...

Apple วางขาย iPhone 16 พร้อมนวัตกรรมความยั่งยืน ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 85%

Apple ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการวางขาย iPhone 16 ที่เน้นความยั่งยืน โด...

ผล 1 ปีกับความคืบหน้า ESG Symposium ส่งไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สู้โลกเดือด

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เห็นผลเป็นรูปธรรม ตาม 4 ข้อเสนอจากงาน ESG Symposium 2023 ทั้งสร้าง "สระบุรี...

‘ลาซาด้า’ เดินเกมทำกำไร ชู '3 กลยุทธ์' สร้างยุคใหม่อีคอมเมิร์ซ

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ลาซาด้ายังเดินหน้าลงทุนใน...