เปิดโผ 10 ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก ปี 2566 ‘หุ้นไทย’ ยอดแย่ ผลตอบแทนรั้งท้ายสุด

ตลอดปี 2566 ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยต่างต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายด้าน  ซึ่งก่อนหน้านั้นต้องประสบกับผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้น และแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์หลังจากอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเข้าสู่ภาวะสงครามที่เข้ามารุมเร้า

บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า สำหรับเหตุการณ์ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกผลตอบแทนโดยภาพรวมปี 2566 ถือว่าสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี จะมีเพียง 3 ดัชนีที่ทำได้ค่อนข้างน่าผิดหวังคือ ไทย จีน และ ฮ่องกง 

โดยในส่วนปัจจัยที่สนับสนุนผลตอบแทนของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างเช่น สหรัฐฯ และยุโรปในปี 2566 เป็นผลมาจากเงินเฟ้อที่ค่อย ๆ ปรับตัวลดลง ความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางอย่าง Fed และ ECB เริ่มขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่น้อยลงในครึ่งปีแรก และเริ่มคงดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังประกอบกับกำไรบริษัทจดทะเบียนยังคงเติบโตได้ ส่งผลให้ความกังวลของนักลงทุนลดลง 

ในส่วนของธนาคารกลางญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นธนาครกลางหลักของโลกเพียงธนาคารเดียวที่ยังไม่ใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว มีเพียงแค่การปรับ Yield Curve Control ที่เพิ่มขึ้น แต่โดยรวมยังถือว่าเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวได้อย่างโดดเด่นในปีนี้

ขณะที่ฝั่งเอเชียเป็นเหมือนหนังคนละเรื่อง โดยในฝั่งของอินเดียสามารถสร้างผลตอบแทนได้เกือบ 20% ซึ่งนอกจากเศรษฐกิจที่ยังเติบโตได้ดีแล้ว ความชัดเจนของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ที่ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 รวมถึงความชัดเจนทางการเมืองที่อาจส่งผลให้โมดิ ได้รับเลือกตั้งอีกสมัยทำให้ดัชนี SENSEX ได้รับความสนใจจากนักลงทุน 

เช่นเดียวกับฝั่งของไต้หวันและเกาหลี ที่ความต้องการทางด้าน Semiconductor รวมถึงแบตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เป็นอีก 2 ดัชนีที่เติบโตได้ดี ข้ามมาในฝั่งของจีนถือว่าสร้างความน่าผิดหวังเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากเจอผลกระทบทางด้านอสังหาฯ ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน รวมถึงนโยบายของทางจีนที่ออกมายังคงเป็นนโยบายเพื่อประคองเศรษฐกิจที่เกิดผลกระทบ ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัว 

ขณะที่ฝั่งของไทยถือว่าเป็นปีที่เกิดการ Rotation อย่างชัดเจนจากปี 2565 ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น แต่พอมาปี 2566 กลับถูกเทขายจากต่างชาติ ส่วนนึงเป็นผลจากการขายทำกำไรไปซื้อกลุ่มสินทรัพย์ประเทศอื่น อีกส่วนเป็นความไม่ชัดเจนทางการเมืองในช่วงกลางปี และช่วงปลายปีเป็นผลจากนโยบายที่ออาจยังคลุมเครือในเรื่องของการจัดหางบประมาณ และการก่อหนี้ที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากการใช้งบประมาณทางด้านการคลังส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยถือว่ารั้งท้ายในปี 2566 นี้

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก พบว่า ญี่ปุ่น ดัชนี NIKKEI225 แชมป์ปี 2566 ผลตอบแทนดีสุดอยู่ที่ 28.57% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยแย่สุดแห่งปี 2566 รั้งท้ายติดลบมาถึงสุดถึง 15.20% 

1.ญี่ปุ่น ดัชนี NIKKEI225 ผลตอบแทน +28.57%

2.ไต้หวัน ดัชนี TAIEX ผลตอบแทน +26.53%

3.สหรัฐอเมริกา ดัชนี S&P500 ผลตอบแทน +24.54%

4.อินเดีย ดัชนี SENSEX ผลตอบแทน +18.62%

5.เกาหลี ดัชนี KOSPI ผลตอบแทน +17.98%

6.เวียดนาม ดัชนี VN ผลตอบแทน +11.79%

7.อินโดนีเซีย ดัชนี JCI ผลตอบแทน +6.37%

8.จีน ดัชนี CSI300 ผลตอบแทน -12.22%

9.ฮ่องกง ดัชนี HANG SENG ผลตอบแทน -14.68%

10.ไทย ดัชนี SET ผลตอบแทน -15.20%

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...