MAXBIT ลุยตลาดคริปโทฯ เชื่อม 'แมกซ์เวิลด์' ขยายลูกค้ากับพันธมิตร PTG

   “ปกเขตร รัชกิจประการ”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด หรือ MAXBIT เปิดเผยกับทาง”กรุงเทพธุรกิจ”ว่า บริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบการเป็นนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    หลังจากที่ “แมกซ์บิท” ใช้ระยะเวลากว่า 4 ปี ในการเริ่มศึกษาตลาด “คริปโทเคอร์เรนซี่” ร่วมกับทาง PTG โดยมีการมอนิเตอร์วอลุ่มปริมาณการเทรดและอัตราการเติบโตของตลาดคริปโทฯในช่วงปี 2563  ซึ่งพบว่าสินทรัพย์ที่หลายคนมองว่าไม่สามารถจับต้องได้มีอัตราการเติบโตเร็วกว่าตลาดหุ้นไทยถึง 10 เท่า ทำให้ PTG มองเห็นถึงแนวโน้มตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

รวมทั้ง “ปกเขตร” มีมุมมองความสนใจในคริปโทฯ จากการเป็นนักเทรดสายเลือดบล็อกเชนในยุคแรกเริ่ม ถือว่าใช้เวลาในการศึกษาตลาดและพิสูจน์ตลาดสินทรัพย์ใหม่ว่าเป็นไปได้แค่ไหน หลังจัดตั้งบริษัทแมกซ์บิทใช้เวลากว่า 2 ปีครึ่ง ตั้งแต่การยื่นขอใบอนุญาตจนถึงวันที่เริ่มธุรกิจอย่างเป็นทางการในวันนี้

      สำหรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล แบ่งเป็น 2 ใบอนุญาต ได้แก่ 1. ไลเซนส์ดิจิทัลแอสเซสโบรกเกอร์และ 2. ไลเซนส์คริปโทเคอเรนซี่โบรกเกอร์ โดยสามารถซื้อขายได้ทั้งโทเคนดิจิทัล และคริปโทเคอเรนซี่ 

  แมกซ์บิท ผ่านการตรวจสอบระบบทั้ง 2 ขั้นตอน หลังจากที่ก.ล.ต.ได้เข้ามาตรวจสอบระบบและทำงานร่วมกับกระดานเทรดตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์เต็ม ซึ่งสามารถเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบได้แล้ว แต่เพื่อความมั่นใจในระบบรองรับลูกค้า แม็กซ์บิทจะเปิดกระดานเทรดแบบ Close beta ในวงจำกัด 1,000 คน ในช่วงต้นเดือนธ.ค.2566 ไปจนถึงช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 เพื่อเตรียมการเปิดทดสอบโดยผู้ใช้จริงหรือ Beta ซึ่งจะเปิดบริการสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนและทำการกรอกรหัส Invitation code เท่านั้น ผู้ที่สนใจสามารถติดตามการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมได้ทางช่องทางโซเชียลมีเดียของแมกซ์บิท

     เป้าหมายการเป็น “ที่สอง” ของตลาดท่ามกลางการแข่งขันตลาดคริปโทฯไทย ที่ต้องยอมรับว่ามีความเข้มข้น ทั้งเจ้าตลาดที่ครองสัดส่วนมาเก็ตแชร์กว่า 90% และเจ้าใหญ่ระดับโลกลงมาแข่งขันในไทย แต่กลับเป็นความ”ท้าทาย” เพราะแมกซ์บิทคือผู้ให้บริการที่เริ่มต้นจากความเชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล  แม้แต่สถาบันการเงินอย่างธนาคารลงมาเล่นในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลพบว่าปริมาณวอลุ่มไม่ได้เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

     โดย  4 จุดแข็งของแมกซ์บิท   ภายใต้อีโคซิสเตมที่พร้อมรองรับการใช้งานผ่าน  “แมกซ์เวิลด์”  อย่างแรกคือ     1.แมกซ์บิท เตรียมพร้อมงบประมาณในการทำมาร์เก็ตติงเพื่อต่อสู่กับคู่แข่งในตลาด  2.มีซอร์ฟแวร์ที่สร้างขึ้นในประเทศ และมีระบบ Customer Feedback เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขการทำงานให้ตอบโจทย์ผู้ใช้จริง 

     3.ข้อได้เปรียบของ”โบรกเกอร์”ในการจัดการสภาพคล่อง ในการเป็นกระดานกลางเพื่อจับคู่การซื้อขายกับกระดานเทรดคู่ค้าในต่างประเทศ เช่น คอยน์เบส (Coinbase) และ ผู้ให้บริการสภาพคล่อง B2C2 ในประเทศอังกฤษ โดยมีการคัดกรองอย่างละเอียดทั้งความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยภายใต้การดูแลของก.ล.ต.ทุกขั้นตอน

     และ 4.อีโคซิสเตมของแมกซ์เวิลด์ จากฐานลูกค้าที่ไม่ได้เริ่มต้นจาก”ศูนย์” จำนวนผู้ใช้แมกซ์การ์ด19 ล้านคน สามารถต่อยอดเป็นลูกค้าของแมกซ์บิทได้  โดยใช้บิ้กดาต้าในการคัดกรองกลุ่มเป้าหมายหลักได้ 1.5 ล้านคน คือ กลุ่มอายุในช่วงวัยทำงาน ที่เป็นพนักงานออฟฟิศอยู่ในหัวเมืองหลักเช่น กรุงเทพฯ หาดใหญ่ เชียงใหม่ และภูเก็ต 

     ”อีโคซิสเตม” รองรับที่มากกว่ากระดานเทรดคริปโทฯ เมื่อลูกค้าเข้ามาซื้อขายโทเคนและคริปโทฯผ่านแมกซ์บิทจะได้รับ พอยท์ Max Card " เพื่อสามารถไปใช้ในการแลกซื้อสินค้าในแมกซ์มาร์ท ( Max Mart),  ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และเติมน้ำมัน เป็นต้น

     แมกซ์บิทตั้งเป้าภายในปีแรกสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานได้ถึง 3 แสนราย และครองส่วนแบ่งมาร์เก็ทแชร์ตลาดคริปโทฯในประเทศ 10% และภายใน 3 ปีจะมีมาร์เก็ตแชร์ราว 30-35%     คาดว่าในช่วงปีแรกที่เปิดให้บริการยังไม่มีการขอ ใบอนุญาตเพิ่ม แต่จะมีการพัฒนาฟิวเจอร์ฟังก์ชันให้เหมาะสมกับการเป็นโบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัลทำให้ในระยะยาวสามารถช่วยลดต้นทุนและเสริมให้ธุรกิจเติบโตมีความสนใจมากขึ้น

      ด้านคู่แข่งที่มีจำนวนมากแต่เมื่อตลาดมีการพัฒนาไปอีก 2-3 ปีตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะไม่ต่างอะไรกับตลาดสินทรัพย์ดั้งเดิม  คือเจ้าเล็กหายไปเหลือแต่เจ้าใหญ่ซึ่งมั่นใจว่า แมกซ์บิท คือหนึ่งในกระดานที่สามารถอยู่รอดได้ แม้ว่าในขณะนี้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านช่วงต่ำสุดของตลาดมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นมาจนเข้าใกล้จุดสูงสุดของตลาดได้อีกครั้ง

      “ หากย้อนไปในช่วงที่ตลาดคริปโทฯได้รับความสนใจ ไทยมีวอลุ่มเทรดราว 9 หมื่นล้านบาท/เดือน แปลว่าหนึ่งปีมีวอลุ่มเทรดเกินล้านล้านบาท แต่วอลุ่มลดลงในปีถัดมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันที่ระดับ 3 หมื่นล้านบาท/เดือน ซึ่งลดลงถึง 3 เท่า”

      ”ปกเขต” เชื่อใน “สถิติ” แม้ว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่มาก มีอายุเพียงแค่ 10 กว่าปี เมื่อเทียบกับทองคำ และสินทรัพย์ดั้งเดิมอื่นๆ ที่มีอายุกว่า 100 ปี  แต่ปรากฎการณ์ Bitcoin Having ในปีหน้าจะเป็นสิ่งพิสูจน์ว่า Bull Bear Cycle ของตลาดคริปโทที่จะเปลี่ยนแปลงทุกๆ 4 ปี ที่จะมีการปรับตัวลดลงและทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ในปี 2567 หรือไม่ และมองว่าในขาขึ้นครั้งถัดไปตลาดคริปโทจะมีความหวือหวาน้อยกว่าครั้งที่ผ่านมา

      ตลาดคลิปโทฯ ทุกวันนี้ยังมี “ของปลอม” อยู่เยอะ และในทุกๆไซเคิลของคริปโทฯ มีเหรียญใหม่ที่เกิดขึ้นและหายไป ซึ่งทุกเหรียญมีความเสี่ยง ทุกอัลคอยน์มีความเสี่ยง แต่บิตคอยน์และอีเธอเรี่ยมมีความเสี่ยงน้อยกว่า

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘อีลอน มัสก์’ หนุน ‘ทรัมป์’ พนักงานบริจาคให้‘แฮร์ริส’

ข้อมูลจากโอเพนซีเคร็ตส์ องค์กรไม่หวังผลกำไรไม่แบ่งฝักฝ่าย ผู้ติดตามข้อมูลการบริจาคเงินหาเสียงและการล...

สหภาพแรงงาน Teamsters ไม่หนุน'ทรัมป์-แฮร์ริส'

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า สหภาพแรงงานทีมสเตอร์สมีสมาชิกกว่า 1.3 ล้านคน เป็นตัวแทนของกลุ่มคนขับรถบร...

ครึ่งแรกปี67จีนครองแชมป์ซื้อคอนโดเมียนมาซิวเบอร์สองแซงรัสเซีย2ปีซ้อน

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เป...

อสังหาฯ แบกสต็อกอ่วม 1.57 ล้านล้าน เอ็นพีแอลพุ่ง ‘ทุกตลาดติดลบหนัก’

นายกสมาคมอาหารชุด หวังเร่งแก้นอมินีต่างชาติในตลาดบ้านมูลค่า 1 ล้านล้านบาท จัดเก็บภาษี หวังแบงก์ชาติล...