ส่อง 10 ไฮไลต์ ‘ดิ เอ็มสเฟียร์’ ศูนย์การค้าใหม่ย่านสุขุมวิท มูลค่า 2 หมื่นล้าน

กลุ่มบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้เดินหน้าเปิดตัวโครงการ รีเทลขนาดใหญ่ปลายปี 2566 ในย่านสุขุมวิทกับ ดิ เอ็มสเฟียร์ (THE EMSPHERE) เป็นรีเทลแห่งที่สามของบริษัทในทำเลสุขุมวิท โดยเข้ามาต่อยอดโครงการ เอ็ม ดิสทริค (EM District) ที่ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2547 ขนาดพื้นที่ 200,000 ตร.ม. ต่อมาในปี 2558 กับ ดิ เอ็มควอเทียร์ ขนาดพื้นที่ 250,000 ตร.ม.

ล่าสุดในปี 2566 กับ ดิ เอ็มสเฟียร์ ขนาดพื้นที่ 200,000 ตร.ม. ได้วางให้เป็น ศูนย์การค้าแห่งอนาคตที่ไม่หลับใหล (SLEEPESS METROPOLIS) และฮับแห่งความบันเทิงของภูมิภาคนี้ พร้อมเปิดทางการในวันที่ 1 ธ.ค.2566 ซึ่งอยู่ในทำเลใกล้กันทั้งสามศูนย์การค้า เชื่อมต่อสกายวอร์คจาก สถานีพร้อมพงษ์ ไปถึงพื้นที่รีเทล

สำหรับดิ เอ็มสเฟียร์ มีไฮไลต์ 10 ด้านที่โดดเด่นทั้ง

1. การจัดทำให้เป็น ศูนย์การค้าแห่งอนาคตที่ไม่หลับใหล (SLEEPESS METROPOLIS) มีมูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท โดยพื้นที่มีร้านเปิดรวม 300 ร้านค้า จำนวนกว่า 1,000 แบรนด์ ซึ่งรวบรวมร้านอาหาร และร้านชื่อดัง ไปจนถึงมีคลับ มาเปิดให้บริการ ซึ่งเปิดให้บริการยาวจนถึงตีสาม ไปจนถึงบางโซนในอนาคตอาจเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

2. การจัดทำพื้นที่ พื้นที่ความบันเทิงกับ UOB LIVE วางเป้าให้เป็น World class arena สำหรับจัดกิจกรรมคอนเสิร์ต กิจกรรมระดับโลก มีขนาดพื้นที่ 6,000 ที่นั่ง ร่วมยกระดับธุรกิจบันเทิงของไทย

3. การดึงอิเกีย (IKEA) เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านจาก ประเทศสวีเดน มาเปิดให้บริการในศูนย์การค้าสู่ IKEA สุขุมวิท ขนาด 15,000 ตร.ม. หรือ อยู่ในพื้นที่ชั้นสามทั้งหมด นับเป็นการเปิดในคอนเซ็ปต์ CITY – CENTRE STORE ครั้งแรกในอาเซียนและมีขนาดใหญ่

4. การรวมศูนย์ INTERNATIONAL & LOCAL FOOD MARKET ร้านดังจากทั่วโลก ทั้งร้านสตรีทฟู้ด ไปจนถึง ร้านระดับมิชลินสตาร์ อีกทั้งยังมีไฮไลต์การมี Sky Beach club พื้นที่สังสรรค์แห่งใหม่ และยังมี MEGA Club ขนาดพื้นที่ 2,000 ตร.ม. วางเป้าให้เป็นแหล่ง Hang out & socialize ที่สำคัญในย่านสุขุมวิท

  • ร้านอาหารแบรนด์ดังที่จะมาเปิดมีทั้ง ร้าน Bread Street Kitchen & Bar เป็นร้านสไตล์ All-Day Dinning เสิร์ฟเมนูจาก เชฟมิชลินระดับโลก Gorden Ramsay, ร้าน เชค แช็ค (SHAKE SHACK) มาในคอนเซ็ปต์ใหม่ ร้านเบอร์เกอร์ดังจากสหรัฐ และร้าน OH MY GODMOTHER คาเฟ่และเบเกอรี่ แห่งจาก ไอเบอรี่ กรุ๊ป และ ร้าน NAYUKI ชานมหมื่นล้านจากประเทศจีน เป็นต้น
  • ร้านดังจากไทยที่มาเปิดครั้งแรกในศูนย์การค้า ทั้ง โรงกลั่นเนื้อ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อจากถนนทรงวาด ร้าน RINTARO ร้านไอศกรีมเจลาโต้ และร้าน ZAO ร้านอาหารอีสานชื่อดัง เป็นต้น

5. การดึงแบรนด์แฟชั่นมาเปิดภายใต้ คอนเซ็ปต์ใหม่ รวมกว่า 40 แบรนด์ ทั้ง United Colors of Benetton จากอิตาลี แบรนด์ UNITED ARROWS และแบรนด์ BEAMS จากประเทศญี่ปุ่น ในสไตล์มินิมอล แบรนด์ CLUB21 LAB รวบรวมสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ดัง รวมถึงแบรนด์ไทย ทั้ง VINN PATARARIN และ PIPATCHARA เป็นต้น

6. การดึงแบรนด์รถยนต์ดังมาร่วมเปิดโชว์รูม ทั้ง Rolls – Royce, BMW, Landrover, Porsche, Volvo, Hyundai และ AION แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่สร้างยอดขายเป็นลำดับสามในประเทศจีน เป็นต้น เพื่อเป็นสถานที่โชว์เคสของสุดยอดยนตกรรม 

7.การตกแต่งพื้นที่ภายใน ที่คัดสรรและรวบรวมศิลปะแห่งการใช้ชีวิตมาอยู่ในพื้นที่เดียว ด้วยการออกแบบพื้นที่ใหม่ที่สวยงามและเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ พร้อมได้จัดทำพื้นที่ห้องน้ำ ที่มีสีสันแปลกใหม่ ยกตัวอย่างกับ PINK reference lighting

8. การจัดทำจอ LED ที่เป็นแบบ 3 มิติ ขนาดใหญ่แบบเสมือนจริง เป็นครั้งแรกในไทย โดยจะติดตั้งบนศูนย์การค้า เพื่อสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในย่านสุขุมวิท

9. การจัดทำ สกายวอร์ค เชื่อมต่อจากรถไฟฟ้า สถานีพร้อมพงษ์ ไปจนถึงศูนย์การค้า ดิ เอ็มสเฟียร์ โดยเป็นการลงทุนของ เดอะมอลล์ ด้วยงบลงทุน 300 ล้านบาท ทำให้ทั้ง 3 ศูนย์อยู่ติดกับรถไฟฟ้าทั้งหมด และเชื่อมต่อกันผ่านสกายวอร์ค

10. พื้นที่มี 200,000 ตร.ม. ที่มีทั้งศูนย์การค้าและอาคารทาวเวอร์ ได้จัดทำสู่พื้นที่สีเขียว จำนวนมากและมีต้นไม้ขนาดใหญ่ เพื่อร่วมสร้างพื้นที่แห่งความเป็น กรีนใจกลางเมือง และยังเชื่อมต่อไปยัง สวนเบญจสิริ ที่เดอะมอลล์ ได้เข้าไปลงทุนปรับโฉมใหม่ในหลายส่วน ทั้งบริเวณพลุ ลู่วิ่ง และห้องน้ำใหม่ให้ด้วย

พร้อมกันนี้ได้เตรียมงบประมาณในการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่นี้อย่างยิ่งใหญ่รวม 1,000 ล้านบาท โดยจะต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้ เป็นวันแรก พร้อมด้วยการจัดฉลองในเอ็ม ดิสทริค ไปพร้อมกัน

ทั้งหมด จะร่วมสร้างสิ่งใหม่ให้แก่ กทม. เรียกว่า BANGKOK CALLING THE WORLD หรือ ปรากฏใหม่ที่โลกเรียกหา พร้อมร่วมเข้ามาเติมเต็มโครงการ เอ็ม ดิสทริค ให้สมบูรณ์มากขึ้น ทั้งนี้ได้วาง ดิ เอ็มโพเรียม สู่การเป็น LUXURY INSTITIUE ความเป็นที่สุดแห่งความหรูหรา และ ดิ เอ็ม ควอเทียร์ สู่การเป็น CUTTING EDGE LUXURY & HYBRID ความเป็นลักชัวรีที่เหนือระดับ มีความเป็นเอกลักษณ์ของไลฟ์สไตล์

พร้อมประเมินว่า จะดึงดูดลูกค้าเข้ามาในย่านการค้าแห่งนี้ที่รวม 3 ศูนย์ได้ไม่ต่ำกว่า 1.25-1.50 แสนคน ต่อวัน

 

 

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘ไทย’ ร่วงลงสองอันดับ! ใน IMD World Talent Ranking ปี 2024 ส่วนสิงคโปร์นำโด่ง

จากการจัดอันดับ “ประเทศที่มีความเป็นเลิศในด้านบุคลากรผู้มีความสามารถประจำปี 2024” (The 2024 IMD Worl...

Apple วางขาย iPhone 16 พร้อมนวัตกรรมความยั่งยืน ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 85%

Apple ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการวางขาย iPhone 16 ที่เน้นความยั่งยืน โด...

ผล 1 ปีกับความคืบหน้า ESG Symposium ส่งไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สู้โลกเดือด

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เห็นผลเป็นรูปธรรม ตาม 4 ข้อเสนอจากงาน ESG Symposium 2023 ทั้งสร้าง "สระบุรี...

‘ลาซาด้า’ เดินเกมทำกำไร ชู '3 กลยุทธ์' สร้างยุคใหม่อีคอมเมิร์ซ

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ลาซาด้ายังเดินหน้าลงทุนใน...