'กฤษณ์-กรณ์​' ทายาท 'ณรงค์เดช' สบายใจบิดาได้รับความเป็นธรรม ถูกปลอมลายเซ็น

วันที่ 20 ตุลาคม 2566 สองทายาท ณรงค์เดช "กฤษณ์ และ กรณ์​" พร้อมทนายความ "พิชา ป้อมค่าย" ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจง ภายหลังศาลศาลอาญากรุงเทพใต้ ตัดสิน บิดาโดนปลอมลายเซ็นจริง ใน 5 เอกสาร โดยมีรายละเอียดคำชี้แจงดังนี้  

จากกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายณพ ณรงค์เดช และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา กับพวกในข้อหาปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ตั้งแต่ปี 2564 เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1708/2564 กรณีที่นายณพ อ้างว่านายเกษม (บิดา) เป็นตัวแทนให้กับคุณหญิงกอแก้ว (แม่ยาย) ในการซื้อหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอยี โฮลดิ้ง จำกัด และการโอนหุ้นวินด์ เอนเนอยี ไปให้บริษัทโกลเด้น มิวสิค ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ครอบครัวมีแถลงการณ์ประกาศตัดนายณพ ออกจากตระกูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561

​ที่ผ่านมานายเกษมได้ถูกเข้าใจผิดมาตลอดระยะเวลาหลายปีว่า การที่นายเกษม และครอบครัวณรงค์เดช ออกมาพูดเรื่องการถูกปลอมลายมือชื่อเพื่อโอนหุ้นของนายเกษมไปให้แก่คุณหญิงกอแก้ว เป็นเรื่องไม่จริง ทั้งที่มีการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของนายเกษมในเอกสารปัญหาดังกล่าวโดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ที่ผลปรากฎจากการตรวจสอบจากทั้ง 2 สถาบันล้วนยืนยันออกมาตรงกันว่าเป็นลายมือชื่อปลอม ซึ่งครอบครัวณรงค์เดชได้ใช้ความอดทนเพื่อรอการพิสูจน์โดยกระบวนการยุติธรรมเรื่อยมา ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ1753/2566 โดยศาลมีคำสั่งพิพากษาว่า เอกสารจำนวน 5 ฉบับเป็นลายเซ็นปลอม กล่าวคือ

1) สัญญาซื้อขายหุ้นวินด์ ที่นายเกษม ทำกับบริษัท เคพีเอ็น เอนเนอยี (ประเทศไทย) จำกัด

2) หนังสือแต่งตั้งตัวแทน ที่นายเกษม รับเป็นตัวแทนของคุณหญิงกอแก้วในการซื้อหุ้นวินด์

3) ตราสารการโอนหุ้น ที่นายเกษม โอนหุ้นของบริษัทโกลเด้นมิวสิค ให้แก่คุณหญิงกอแก้ว

4) ใบซื้อขายหุ้น ที่นายเกษม ขายหุ้นบริษัทโกลเด้นมิวสิค ให้แก่คุณหญิงกอแก้ว

5) คำประกาศเจตนารมณ์ในการเป็นทรัสต์ ที่นายเกษมประกาศว่า หุ้นบริษัทโกลเด้นมิวสิคเป็นของคุณหญิงกอแก้ว และผลประโยชน์ใดๆที่เกิดขึ้นจากหุ้นต้องตกเป็นของคุณหญิงกอแก้ว รายละเอียดของคดีดังกล่าวขอให้นายพิชา ป้อมค่ายทนายความของครอบครัวณรงค์เดชชี้แจงต่อไปโดยทนายความครอบครัว ณรงค์เดช กล่าวว่า “ทั้งนี้เอกสาร 5 ฉบับที่มีลายมือชื่อนายเกษม ที่ศาลมีคำพิพากษาว่า เป็นลายมือชื่อปลอม จึงถือว่าเป็นเอกสารปลอม ซึ่งศาลมีคำพิพากษาให้ริบเอกสารทั้ง 5 ฉบับดังกล่าว ซึ่งการริบตามความหมายในคำพิพากษาศาลก็เพราะเอกสารปลอมถือเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดหรือโดยนำไปใช้ก็จะมีความผิด แต่คดีนี้ศาลได้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากฝ่ายโจทก์ (นายเกษม) ไม่สามารถยืนยันระบุได้ว่าจำเลยคนใดเป็นผู้ทำเอกสารปลอม แต่ด้วยผลแห่งคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ดังกล่าวที่พิพากษาอย่างชัดเจนว่าเอกสารทั้ง 5 ฉบับเป็นเอกสารปลอม จึงถือได้ว่านายเกษมไม่เคยเป็นตัวแทนหรือนอมินีของคุณหญิงกอแก้วในการซื้อหุ้นวินด์ เอนเนอยี ตามที่นายณพ และคุณหญิงกอแก้วได้กล่างอ้างมาตลอด และเมื่อเอกสารเกี่ยวกับการโอนหุ้นบริษัทโกลเด้นมิวสิคระหว่างนายเกษม และคุณหญิงกอแก้วเป็นเอกสารปลอมการโอนหุ้นจึงไม่มีผลทางกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ”

         การที่ครอบครัวณรงค์เดช ได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนในวันนี้ เพราะเพิ่งได้รับสำเนาคำพิพากษาจากศาล และได้ตรวจสอบข้อความในคำพิพากษาทั้งหมดแล้ว จากคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ดังกล่าวเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่นายเกษม และครอบครัวณรงค์เดชได้พูดกับสื่อมวลชนมาตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 ว่านายเกษมถูกปลอมลายมือชื่อเพื่อโอนหุ้นวินเอนเนอยี ของครอบครัวออกไป เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว จึงขอนำเอาความจริงที่ศาลได้พิพากษามาแถลงแก่สื่อมวลชน เพื่อทำความเข้าใจกับสาธารณชนว่า ครอบครัวณรงค์เดชประกอบอาชีพโดยสุจริต ไม่เคยคิดโกงใคร และนายเกษมเอง เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงไม่มีทางยินยอมเป็นนอมินีหรือเป็นตัวแทนให้แก่คุณหญิงกอแก้วอย่างแน่นอน และธุรกิจในเครือของครอบครัวณรงค์เดช ทั้งหมดได้แบ่งการบริหารงานโดยนายกฤษณ์ และนายกรณ์ ทายาทของครอบครัวที่เหลืออยู่เพียง 2 คนเท่านั้น”

กฤษณ์ กรณ์​ สองทายาท ณงค์เดช แถลงย้ำว่า หลังจากนี้ไป จะดำเนินการตามกระบวนการหลังศาลตัดสินออกมาแล้ว และรู้สึกโล่งใจ ที่บิดาได้รับธรรม เพราะเป็นสิ่งที่พ่อพูดมาตลอดว่าถูกปลอมลายเซ็น โดยพร้อมที่จะเจรจากับผู้เกี่ยวข้อง โดยอยากให้เรื่องทุกอย่างจบลง 

กฤษณ์ ณงค์เดช กล่าวว่า "ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา สงสารพ่อมากจริงๆ ไม่มีใคร อยากมีปัญหาในเรื่องกฎหมาย เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเด็ดขาด สุดท้าย ถูกปลอมลายเซ็นต์ หัวใจคือตรงนี้ ทั้งหมดขอขอบคุณกระบวนการยุติธรรม"

กรณ์​ ณงค์เดช กล่าวต่อว่า "ในช่วงต้นปีหน้าจะครบ 7 ปี แล้ว ไม่อยากให้เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ครอบครัวไม่เคยมีคดีความใดๆ ทั้งสิ้น เราในฐานะลูก ตั้งแต่เด็กๆ มาพ่อแม่ให้โอกาสหลายอย่าง และสอนทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ผมในฐานะเจน 3 ทำธุรกิจแล้ว สงสารพ่อสุดหัวใจ ในตอนนี้พ่ออายุ 88 ปีแล้ว ส่วนในช่วงเกิดเหตุพ่ออายุ 82 ปี นับตั้งแต่มีเรื่องราวหุ้นโอน" 

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

จับตา 48 ชั่วโมงอันตราย หลังระเบิดเลบานอน l World in Brief

รมต.เลบานอนเตือนระวังสถานการณ์บานปลายรุนแรง จากเหตุเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารที่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบา...

‘อาเซียน’ หันใช้คิวอาร์โค้ดพุ่ง ดันภูมิภาคสู่ ‘สังคมไร้เงินสด’

นิกเคอิเอเชียรายงานว่า การชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเริ่มเป็นที่แพร่หลายในตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายปีก่อน เ...

เปิดประสบการณ์เยือน ‘กัมพูชา’ ครั้งแรกของนักการทูตแรกเข้า

“กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย ซึ่งคนไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดายทั้ง...

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ง่ายเลย” ข้อความแรกของซีอีโอใหม่ Nike ถึงพนักงาน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ก.ย.) ว่า เอลเลียต ฮิลล์ ผู้บริหารคนใหม่ของ Nike Inc., กล่าวต่อ...