4 โรคเรื้อรังควรระวังหน้าฝน เผยอาการที่รีบควรพบแพทย์!

ฤดูฝนอุณหภูมิจะลดต่ำลง อากาศมีความชื้นมากขึ้น ส่งผลให้เสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วยได้มากขึ้น แน่นอนว่านอกจากโควิด 19 แล้ว ควรระวังโรคที่ระบาดอตามฤดูและจะหนักขึ้นในช่วงหน้าฝน โดยเฉพาะโรคเรื้อรังในระบบทางเดินหายใจที่ระบาดถึงกันได้ง่าย 

โรคเรื้อรังพบบ่อยช่วงฤดูฝน

ไข้หวัด (Common Cold)

  • สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น Rhinovirus (ไรโนไวรัส)

  • การติดต่อ : สามารถติดต่อโดยการหายใจเอาเชื้อไวรัสเข้าไปในร่างกายหรือผ่านทางการไอจามใส่กัน

Freepik/stopaminsk
โรคหน้าฝน
  • อาการ : เมื่อได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปประมาณ 1 – 3 วัน จะมีอาการจาม คัดจมูก มีน้ำมูก ไข้ต่ำ ๆ และมีอาการไอตามมาได้ 

  • การดูแลรักษา : ไข้หวัดจะรักษาตามอาการ ควรดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ หากมีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไอ เสมหะเพิ่มขึ้น หอบเหนื่อย หรือรับประทานอาหารได้น้อยลงควรต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที

การป้องกัน : ล้างมือบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้มีอาการไข้หวัด

ไข้หวัดใหญ่ (Seasonal Influenza)

  • สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ Influenza Virus

  • การติดต่อ : เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่อยู่ในน้ำมูกและเสมหะของผู้ป่วยจึงติดต่อได้ระหว่างผู้ใกล้ชิดที่อยู่ในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี หากไอหรือจามสามารถติดต่อผ่านการหายใจเข้าไปได้ โดยมักจะมีอาการหลังจากที่ได้รับเชื้อแล้วประมาณ 1 – 3 วัน

  • อาการ : มีไข้สูง 38 – 39 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ คัดจมูก มีน้ำมูกร่วมด้วยได้

  • การดูแลรักษา : รับประทานยาลดไข้กลุ่มพาราเซตามอลและไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและทำการรักษาโดยเร็ว เนื่องจากไข้หวัดใหญ่เมื่อเป็นแล้วมีความเสี่ยงในการเกิดปอดอักเสบได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ และหญิงตั้งครรภ์

การป้องกัน : การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็กอายุ 6 เดือน – 5 ปี ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน 

ไข้เลือดออก (Dengue Fever) 

  • สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus)

  • การติดต่อ : จากการถูกยุงลายบ้าน (Aedes Egypti) ที่เป็นพาหะนำโรค ซึ่งยุงมีเชื้อไวรัสเดงกีอยู่กัด ยุงชนิดนี้มักอยู่ในภาชนะที่มีน้ำขังและกัดตอนกลางวัน โดยเชื้อเข้าสู่ร่างกายและทำให้มีอาการได้ประมาณ 2 – 7 วัน

  • อาการ : มีไข้สูง 38 – 39 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ในบางรายอาจมีจุดเลือดออกตามตัวได้

  • การดูแลรักษา : ทานยาลดไข้กุลุ่มพาราเซตามอล งดทานยาแอสไพริน ยาลดไข้สูงแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น ibuprofen (ไอบูโพรเฟน) และไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว

การป้องกัน : หลีกเลี่ยงและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยเฉพาะภาชนะที่มีน้ำขัง แนะนำให้ฉีดวัคซีนในผู้ที่มีอายุ 9 – 45 ปีที่เคยมีอาการติดเชื้อไวรัสเดงกีมาแล้ว และในผู้ที่ไม่เคยเป็นไข้เลือดออกปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันได้

ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus)

  • สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัส RSV สามารถติดต่อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยส่วนใหญ่พบบ่อยในเด็กอายุ 2 ขวบหรือวัยอนุบาล

  • การติดต่อ : การสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก เสมหะของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส RSV การหายใจเอาเชื้อไวรัสเข้าไปในทางเดินหายใจผ่านการไอหรือจาม

  • อาการ : ระยะฟักตัวประมาณ 3 – 5 วันหลังจากได้รับเชื้อ ในเด็กเล็กจะมีอาการไข้ ไอ เสมหะ น้ำมูก หากเป็นรุนแรงจะไอ มีเสมหะ เหนื่อย จนเกิดปอดอักเสบได้

  • การดูแลรักษา : รับประทานยาลดไข้กลุ่มพาราเซตามอล เช็ดตัวลดไข้ หากไม่ดีขึ้นควรไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง หรือเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบ มีโอกาสป่วยรุนแรงได้ 

การป้องกัน : เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนในเด็กเล็ก หากมีอาการไข้ควรงดไปโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กจนกว่าจะหายดีเพื่อป้องกันโรค

อาการที่บ่งบอกว่ากำลังเจ็บป่วยเรื้อรัง ได้แก่ ไอติดต่อกัน 3 สัปดาห์ขึ้นไป หลังเจ็บป่วยจากโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ มีโอกาสเกิดภาวะหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือภาวะ Bronchial Hyperresponsiveness (BHR) คือภาวะที่หลอดลมถูกกระตุ้นได้ง่ายหลังจากมีการติดเชื้อไวรัส ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอเรื้อรังได้นานตั้งแต่ 3 – 4 สัปดาห์ขึ้นไป 

สัญญาณที่ควรมาพบแพทย์

  • ไข้สูงลอย เช่น 39 องศาเซลเซียส 

  • กินยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น

  • ไอมีเสมหะจนเหนื่อยหอบ

  • วัดออกซิเจนปลายนิ้วได้น้อยกว่า 95% 

  • ไอเรื้อรังตั้งแต่ 3 สัปดาห์ขึ้นไป

การป้องกันโรคหน้าฝน สามารถทำได้ ด้วยการกินอาหารปรุงสุก ใหม่สะอาดสวมเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นอยู่เสมอ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอทุกวันออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนอย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมง เลี่ยงการโดนฝนหรือลุยน้ำท่วม ถ้าต้องโดนฝนจริงๆควรรีบอาบน้ำสระผมทันที  ที่สำคัญให้ระวังไม่ให้ยุงกัด ล้างมือให้บ่อยช่วยลดการติดเชื้อ

ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘ไทย’ ร่วงลงสองอันดับ! ใน IMD World Talent Ranking ปี 2024 ส่วนสิงคโปร์นำโด่ง

จากการจัดอันดับ “ประเทศที่มีความเป็นเลิศในด้านบุคลากรผู้มีความสามารถประจำปี 2024” (The 2024 IMD Worl...

Apple วางขาย iPhone 16 พร้อมนวัตกรรมความยั่งยืน ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 85%

Apple ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการวางขาย iPhone 16 ที่เน้นความยั่งยืน โด...

ผล 1 ปีกับความคืบหน้า ESG Symposium ส่งไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สู้โลกเดือด

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เห็นผลเป็นรูปธรรม ตาม 4 ข้อเสนอจากงาน ESG Symposium 2023 ทั้งสร้าง "สระบุรี...

‘ลาซาด้า’ เดินเกมทำกำไร ชู '3 กลยุทธ์' สร้างยุคใหม่อีคอมเมิร์ซ

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ลาซาด้ายังเดินหน้าลงทุนใน...