SCB FM ส่อง ‘ค่าเงินบาท’ 1เดือนนี้ อ่อนค่าแตะ 37.60บาทต่อดอลล์ ตปท.กดดัน

นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดการเงินในเดือนที่ผ่านมาผันผวนค่อนข้างสูง ทั้งในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดพันธบัตรรัฐบาล โดยมีเหตุการณ์สำคัญคือ สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่งทำให้ตลาดปรับมุมมองการดำเนินนโยบายของ Fed และล่าสุดคือการแทรกแซงค่าเงินเยนของธนาคารกลางญี่ปุ่น 

ปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินบาทเดือนที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็ว โดยหลังเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน เงินบาทอ่อนค่าราว 1.6% อย่างไรก็ดี การอ่อนค่านี้ยังใกล้เคียงกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค สำหรับทั้งปี 2024 ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าถึง 7.6%

ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค เป็นรองแค่เงินเยนที่อ่อนค่าถึง 9.2% นอกจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitical risk) แล้ว แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ก็ส่งผลต่อเงินบาทเช่นกัน โดยคณะกรรมการ Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่ตลาดประเมิน ทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่มเติม

และสุดท้าย การอ่อนค่าของสกุลเงินอื่นในภูมิภาคทั้งเงินหยวนและเงินเยน ก็เป็นปัจจัยกดดันให้บาทอ่อนค่าตามเช่นกัน

สำหรับมุมมองในระยะต่อไป มองเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่ากว่าที่เคยประเมินไว้ โดยมองเงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ในกรอบ 36.80-37.30 ในช่วง 1 เดือนจากนี้ เนื่องจาก

 1) เงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่ลดลงช้าและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้นโยบายการเงินของ Fed และธนาคารกลางหลักอื่นอาจแตกต่างกันมากขึ้น โดย Fed อาจลดดอกเบี้ยช่วง Q3 ขณะที่ ECB อาจลดดอกเบี้ยตั้งแต่กลางปีนี้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์จะแข็งค่าต่อ กดดันสกุลเงินอื่นในภูมิภาคและเงินบาท 

2) ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยลดลงกว่าที่เคยประเมินไว้ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า โดย SCB FM พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันและค่าเงินบาทสูงขึ้นนับตั้งแต่ผ่านพ้นวิกฤต Covid-19 เนื่องจากสัดส่วนสินค้ากลุ่มพลังงานต่อดุลการค้าไทยเพิ่มขึ้น

3) แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกในช่วงไตรมาสที่ 2 เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทต่างชาติมักส่งเงินกลับ ทำให้อาจกดดันเงินบาทอ่อนค่าได้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายภาครัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย 

 

ประเด็นที่ต้องจับตาในช่วงนี้คือผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ซึ่งมีโอกาสที่ Fed จะส่งสัญญาณ Hawkish ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Yields) อายุ 10 ปี อาจเพิ่มขึ้นต่อได้เล็กน้อย ไปที่ราว 4.75-4.95% โดยในการประชุมรอบก่อน Fed กล่าวว่า “หากเศรษฐกิจปรับตัวลงตามที่คาด ก็น่าจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ภายในปีนี้”

อย่างไรก็ดี นายแพททริกมองว่ามีโอกาสที่คำกล่าวนี้อาจถูกปรับไปหรือตัดออก ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณที่ Hawkish ขึ้น นอกจากนี้ คาดว่า Fed จะปรับลดขนาดงบดุลช้าลง จาก 6 หมื่น เป็น 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่อเดือน แต่การปรับมาตรการนี้น่าจะไม่ส่งผลต่อการออกพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (US Treasury) ซึ่งจะไม่ทำให้อุปทานพันธบัตรลดลงมากจนเป็นแรงกดดันด้านต่ำต่อ Yields และ

สุดท้าย นายแพททริกมองว่า ปัจจุบันภาวะการเงินในสหรัฐฯ ยังค่อนข้างผ่อนคลาย เพราะราคาสินทรัพย์เสี่ยงและดัชนีตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับสูง แต่ด้วยเศรฐกิจที่ยังดีและเงินเฟ้อที่ลดลงช้า ทำให้อาจเห็น Yields ปรับสูงขึ้นอีก เพื่อให้ภาวะการเงินเหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อไป

สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย ล่าสุดตลาดมอง กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ โดยให้โอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยภายในปีนี้เพียง 50% เท่านั้น โดยในการประชุม Analyst meeting สัปดาห์ที่แล้ว ธปท. ยังไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย แต่กล่าวว่าระดับอัตราดอกเบี้ยเหมาะสมต่อเศรษฐกิจไทยแล้ว และเศรษฐกิจจะยังขยายตัวสูงขึ้นจากปีก่อน

ซึ่งหากดูการขยายตัวแบบเทียบต่อไตรมาส ธปท. ก็ยังมองว่าอยู่ในเกณฑ์ดี จึงทำให้ความจำเป็นที่ต้องลดดอกเบี้ยยังน้อย นอกจากนี้ ธปท. มองว่าการลดดอกเบี้ยจะไม่ช่วยให้หนี้ครัวเรือนลดลง โดยถึงแม้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้ในระยะสั้น แต่ดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะทำให้ครัวเรือนเป็นหนี้มากขึ้นในระยะยาว 

อย่างไรก็ดี SCB FM มองว่า โอกาสที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ยังมีอยู่ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจ (Neutral rate) ลดลงตามโครงสร้างเศรษฐกิจไทย 

สำหรับกลยุทธ์ค่าเงินบาทนั้น นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดือนที่ผ่านมา SCB FM ได้แนะให้ตั้งเป้าขายที่ระดับราว 36.10-36.40 ซึ่งจะได้กำไรจากวันที่แนะราว 50 สตางค์ อย่างไรก็ดี บาทอ่อนค่าต่อเนื่อง และไม่กลับมาแข็งค่าดังที่ประเมิน จึงทำให้ยังไม่มี Level ที่สามารถเข้าซื้อ USDTHB ได้ สำหรับกลยุทธ์ในเดือนหน้านี้ มองว่าเงินบาทที่ราว 37.20-37.60 เป็นระดับที่ผู้ส่งออกอาจพิจารณาขายได้ โดยมองว่าหลังการประชุม FOMC มีโอกาสที่ Fed อาจสื่อสารในโทน Hawkish จนกดดันให้บาทอ่อนค่าไปที่ระดับนั้น อย่างไรก็ดี แรงกดดันด้านอ่อนค่าน่าจะทยอยลดลงในระยะปานกลางถึงยาว เนื่องจาก Fed น่าจะไม่กลับมาขึ้นดอกเบี้ยดังที่ตลาดกลัว และ ธปท. อาจเข้าดูแลค่าเงินในเวลาที่เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง จึงมองว่าผู้นำเข้าอาจตั้งเป้ารอซื้อเงินบาทที่ราว 36.50-36.80

ด้านกลยุทธ์อัตราดอกเบี้ย ลูกค้าที่ได้ Pay fixed ผ่าน THOR OIS 2y ที่ราว 2.00% ตามที่ได้แนะนำไปเมื่อเดือนที่แล้ว อาจพิจารณาปิด Trade ได้ โดยจะได้กำไรราว 40 bps สำหรับกลยุทธ์ที่แนะให้ Receive fixed rate ผ่าน THOR OIS อายุ 5 ปี ที่ราว 2.30% เมื่อเดือนก่อน แนะให้อาจพิจารณาปิด Trade นี้ และรอจังหวะเข้าทำใน Level ที่สูงกว่านี้ เนื่องจากยังมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยอาจปรับสูงขึ้นตาม US Treasury yields หลังการประชุม FOMC

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ทหารอิสราเอลปลิดชีพผู้นำฮามาส ‘ยายาห์ ซินวาร์’ ในกาซา

การสังหารเขาได้ถือเป็นความสำเร็จใหญ่หลวงสำหรับอิสราเอล และเป็นเหตุการณ์สำคัญในความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ...

เมเจอร์ร่วมทุนทาคาระ เลเบ็น ผุดมอลตัล รีเสิร์ฟ ปิ่นเกล้ามูลค่า1.3พันล้าน

เพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า เมเจอร์ฯถือว่าเป็นผู้นำใ...

ลงทุนกองทุนต่างประเทศแบบไหนดี ระหว่าง Hedge vs. Unhedge

การลงทุนในกองทุนต่างประเทศ นอกจากต้องคำนึงถึงผลตอบแทนที่มาจากสินทรัพย์ลงทุนแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงไ...

“เงินคู่คลัง” เจาะลึก หุ้นได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของกนง.

ถือเป็นอีกเรื่องราวสุดเซอร์ไพร์ส หลัง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราด...