“อนุชา” สส.รวมไทยสร้างชาติ ชมรัฐบาลจัดงบประมาณปี 67 ไม่กระทบวินัยการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว แนะโครงการสำคัญต้องคิดร่วมกันให้ครอบคลุมหลายกระทรวง ห่วง Soft Power ไม่อยากให้ใช้งบแบบเบี้ยหัวแตก
วันที่ 3 มกราคม 2567 นายอนุชา บูรพชัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราาฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า สภาได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ที่กำหนดไว้ 3.48 ล้านล้านบาท กำหนดเป็นประมาณการรายได้สุทธิอยู่ที่ 2.787 ล้านล้านบาท จะเป็นงบประมาณที่ขาดดุลในครั้งนี้เป็นเงินกู้อยู่ที่ 6.93 แสนล้านบาท สิ่งที่อยากจะแจ้งต่อประธานสภาถึงประชาชนคือ ขอให้ประชาชนสบายใจว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังพิจารณางบประมาณที่ไม่ส่งผลกระทบต่อวินัย และฐานะการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว อย่างที่หลายคนเป็นห่วง
นายอนุชา กล่าวต่อไปว่า ได้อ่านตัวเลขทั้งหมดต้องบอกว่ารัฐบาลได้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด ในเรื่องวินัยทางการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งสำคัญมาก รัฐบาลก่อนหน้านี้จะว่ากี่ปีก็ตาม 9 ปีที่ผ่านมาเรามีเสถียรภาพทางการเงิน เราผ่านวิกฤติทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโควิด-19 เรามีการทำยุทธศาสตร์ชาติที่เรียกว่าล้มแล้วลุกไว เราผ่านวิกฤติต่างๆ มาจนได้รับคำชมเชยจากทั่วโลก ทุกสถาบันให้การยอมรับในเรื่องการดำเนินการในเรื่องวินัยการเงินการคลังของประเทศไทย ตนมีความมั่นใจว่า การดำเนินงานในลักษณะเดียวกันต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลชุดนี้ จะทำให้เสถียรภาพทางการเงินของประเทศไทยสามารถที่จะดำเนินการไปต่ออย่างมีเสถียรภาพเช่นเดียวกัน
สำหรับสิ่งแรกที่ขอยกตัวอย่าง คือ งบลงทุนปีนี้มีกว่า 7 แสนล้านบาท มีตัวเลขที่ไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี อันนี้เข้าเกณฑ์หลักการเรียบร้อย ส่วนงบลงทุนจะต้องไม่น้อยกว่าวงเงินในส่วนที่ขาดดุลงบประมาณประจำปี เราลงทุนกว่า 7 แสนล้านบาท งบประมาณที่ขาดทุนอยู่ที่กว่า 6 แสนล้านบาท ตรงนี้ก็ให้สบายใจได้เรายังสามารถที่จะดำเนินการในเรื่องงบประมาณ และรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด
...
อีกทั้งการจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ แม้จะไม่ต้องพูดถึง 20 ปี เพราะเริ่มมาตั้งแต่ปี 2561 ขณะนี้ 2566 แล้ว เหลืออีกไม่ถึง 15 ปี หลายคนพูดว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความเชื่อมั่นในยุทธศาสตร์ชาติ จะยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่ จะเปลี่ยนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตนมีโอกาสได้พูดคุยในหลายๆ ส่วน พบว่านายกรัฐมนตรียังยึดมั่นในยุทธศาสตร์ชาติอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องการปรับให้มีความทันสมัยมากขึ้น มี AI มีดิจิทัลเข้ามา เพื่อให้ทันสมัยทันโลก สิ่งต่างๆ เหล่านี้อยากให้ประชาชนเข้าใจเช่นเดียวกัน ไม่ต้องกังวล นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้ยังเดินหน้าต่อในยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้านเช่นเดียวกัน ฉะนั้นในเรื่องของความต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่อยากจะชื่นชมรัฐบาล ในการดำเนินการต่อไปในสิ่งที่ทำมาแล้ว และเป็นสิ่งที่ดีของประเทศ
นอกจากนี้ อยากจะขอเสนอแนะให้กับรัฐบาลคือเรื่องที่มีการพูดกันมาก เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ นายอนุชา ระบุว่า อยากเห็นโครงการนี้ที่คนไทยคิดไปด้วยกัน พร้อมกับรัฐบาลที่จะปรับเปลี่ยนแนวคิดว่า จากนี้ไปไม่ใช่เป็นโครงการแลนด์บริดจ์ที่จะนำเสนออย่างเดียวในเรื่องคมนาคมขนส่ง เราจะนำงบไปใช้ ไม่ใช่ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปศึกษาอย่าเดียวว่า จะมีเรือเข้ามาท่าเรือระนองเท่าไร จะมีการขนส่งระหว่างทางไปถึงท่าเรือชุมพรไปกลับอย่างไร จะมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และอันดามันเท่าไร
จากนี้ไปต้องมาช่วยกันคิดและให้หน่วยงานคิดตามไปด้วย ให้กระทรวงอุตสาหกรรมช่วยคิดหาวิธีการศึกษาว่าจากนี้ไป อุตสาหกรรมที่เราจะนำเสนอคืออุตสาหกรรมอะไร แล้วเรามาคิดกันว่า SEC เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะเกิดขึ้นในภาคใต้ เราจะชูอุตสาหกรรมอะไร ทำให้พี่น้องประชาชนคนรุ่นใหม่ได้เตรียมว่าจะได้เรียนสาขาอะไร สอดคล้องไปถึงกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จะจัดเตรียมบุคลากร เตรียมงบประมาณเพื่อเข้าไปเสริม กระทรวงแรงงานเตรียมพัฒนาฝีมือ กระทรวงมหาดไทยจะต้องลงไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะชุมพรและระนอง ต้องรวมถึงสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราชด้วย
“ทั้งหมดนี้เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า เราจะต้องทำ EEC ไม่ใช่เรื่องแลนด์บริดจ์เพียงอย่างเดียว ตรงนี้เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณในปี 2567 อาจจะใช้ไม่ทันเตรียมไม่ทัน แต่งบปี 2568 ที่จะเข้ามาหลังจากนี้อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมงบตรงนี้ไว้เลย เพื่อทำให้โครงการ EEC เกิดขึ้นได้ เหมือนกับ EEC ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก นักลงทุนทั่วโลกมาลงทุน ไม่ว่าจะเป็นสนามบินอู่ตะเภา มอเตอร์เวย์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คนมาเอง เอาเรื่อง SEC ก่อนไม่ใช่เอาเรื่องคมนาคม โครงการแลนด์บริจด์เป็นตัวนำ จะได้เข้าใจตรงกันว่าจะใช้งบประมาณเพื่อการศึกษา โครงการนี้อย่างไรต่อไปในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม นายอนุชา ยังได้กล่าวถึงเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ว่า อยากให้ใช้งบที่เป็นยุทธศาสตร์จริงๆ ไม่อยากให้ใช้งบแบบเบี้ยหัวแตก งบประมาณที่เกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์ในปี 2567 มีการลงทุนกว่า 7,600 ล้านบาท ไม่อยากให้ใช้แบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่อยากให้ใช้ในลักษณะการสร้างอีเวนต์ (Event) แต่อยากให้ใช้เพื่อให้เกิดฐานรากของการสร้างซอฟต์พาวเวอร์จริงๆ ในอุตสาหกรรมต่างๆ ก่อนหน้านี้เรามี 5F ขณะนี้เราเพิ่มเป็น 11 สาขา จึงอยากให้มีการดำเนินการต่อเนื่องต่อไปทำให้เข้าใจตรงกันว่า จากนี้ไปเราไม่จำเป็นต้องพูดว่าเรากำลังจะขายอะไร ต่อไปคือฮาร์ดเซลส์ไม่ใช่ซอฟต์พาวเวอร์อีกต่อไป จากนี้ไปเราอาจจะใช้งบประมาณโดยไม่ต้องพูดถึงซอฟต์พาวเวอร์ แต่ในใจลึกๆ เรารู้อยู่แล้วว่าใช้ไปเพื่อประโยชน์ในการโน้มน้าวให้ต่างชาติหรือในประเทศก็ดีมาดูการท่องเที่ยว มาดูวัฒนธรรม และอื่นๆ ที่เราดำเนินการเป็นเบื้องหลังของซอฟต์พาวเวอร์เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ.