JPMorgan ฟันธง Q4/66 หุ้นไทยไปต่อ อานิสงส์หุ้น Defensive พยุง แม้เศรษฐกิจโลกป่วน
วันที่ส่ง: 13/10/2023 - ผู้เขียน: กรุงเทพธุรกิจ
ท่ามกลางความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนจากสงครามระหว่างกลุ่มติดอาวุธฮามาส และประเทศอิสราเอล ส่งผลให้ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ปรับตัวผันผวน อย่างไรก็ตามเจพีมอร์แกน (JPMorgan) ออกบทวิเคราะห์ถึงตลาดหุ้นไทย ฉบับวันที่ 9 ต.ค.66 ว่า
ที่ผ่านมาดัชนีฯ เผชิญความเสี่ยงจำนวนมากทั้ง ฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่ไหลออก เงินบาทที่อ่อนค่าลง จำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่เป็นไปตามเป้า รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม เจพีมอร์แกนยังเชื่อว่าหุ้นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัจจัยรอบข้าง (Defensive Stocks) ยังช่วยพยุงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยไว้
“เรายังคงเชื่ออย่างต่อเนื่องว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4 จะสามารถเอาชนะความปั่นป่วนจากปัจจัยรอบข้างได้ เนื่องจากสถานการณ์ของเศรษฐกิจจีนที่มั่นคงมากขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการปรับปรุงบัญชีเดินสะพัดช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 (1H24) ที่ดียิ่งขึ้น”
ที่สำคัญเราคาดว่าเจพีมอร์แกน ระบุว่า หุ้นกลุ่มพลังงานจะได้รับอานิสงส์จากวงจรซูเปอร์ไซเคิลของน้ำมัน (Emerging Oil Supercycle) โดยหุ้น Top Picks ได้แก่ CPALL PTTEP TOP ADVANC CPN CRC BH BDMS KBANK KTB และ AOT
ประเด็นที่ต้องติดตาม
- ช่วง 1-3 เดือนที่ผ่านมากองทุนในประเทศเพอร์ฟอร์มเหนือตลาด
ผู้จัดการกองทุนประเทศไทยปรับลดการจัดสรรเงินสดลงเหลือ 9.3% ในเดือนส.ค. โดยยังคงตำแหน่งในหุ้นกลุ่ม Defensive อยู่สัดส่วนเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มสุขภาพ (Health) เพิ่มมากที่สุดถึง 1.9%
ขณะที่ปรับลดหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ลง 0.4% สำหรับหุ้นรายตัว ผู้จัดการกองทุนลดการถือครองหุ้น BBL CPALL GULF และ WHA และเพิ่มสัดส่วน SCB และ JMT ขึ้นมาเล็กน้อย
- เงินทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 616 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 22,792 ล้านบาท) เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้น โดยเม็ดเงินที่ไหลเข้ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ในเดือนก.ย. ยังคงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากแรงขายหุ้น SCB และ KBANK ขณะที่แรงขายที่มากที่สุด และชัดเจนที่สุดมาจาก DELTA AOT BTS และ CRC
- เศรษฐกิจจีนเริ่มมั่นคงนับเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกนปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนขึ้นมา โดยคาดว่าใน Q3 และ Q4 จะโตอยู่ที่ 5.3% และ 4.9% ตามลำดับเมื่อคิดเป็นรายไตรมาส (ก่อนหน้านี้มองว่าจะอยู่ที่ 4.1% และ 4.5%) รวมทั้งอานิสงส์จากการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย
อ้างอิง
บทวิเคราะห์หัวข้อ "Thailand Equity Strategy" ฉบับวันที่ 9 ต.ค.2566
คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ
'นิคมโรจนะ'โซนอันตรายเหลือขายสูงสุดมูลค่า1.7หมื่นล้าน
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยผลสำรวจอุปทานโดยรวมภาคกลาง ในช่วงครึ่งแรกปี 2567 ที่อยู่อาศัยเสนอขายทั...
ตลาดหุ้นสหรัฐแทบไม่ขยับ นักลงทุนชะลอซื้อหลังดัชนีพุ่งแรงวันก่อน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (20 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการเข้าซื้อหุ้น...
เจาะพอร์ต 5 เซียนชื่อดัง ถือหุ้นปันผลสูงเกิน 5% รวม 18 หลักทรัพย์
การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้องค์ความรู้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ในทุกปัจจัยอย่างละเอียด ซึ่งม...
น้ำนมดิบอินทรีย์ สร้างรายได้ให้เกษตรกรครบวงจร
นางอังคณา พุทธศรี ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ชัยนาท (สศท.7) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (...
ยอดวิว