Carbon Offset ปั้นเทค คว้าโอกาส | ต้องหทัย กุวานนท์

อินโดนีเซียก็ประกาศเดินหน้าเป็นศูนย์กลางในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนของภูมิภาค โดยระบุว่าอินโดนีเซียมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนได้ถึง 400 กิกะตัน และต้องการเชิญชวนนักลงทุนจากประเทศต่างๆ ให้เข้ามาลงทุนในโครงการชดเชยคาร์บอนและเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศหรือในพื้นที่อุตสาหกรรม

ภายในครึ่งหลังของปีนี้  อินโดนีเซียจะเปิดตลาดการซื้อขายคาร์บอน ซึ่งเป็นความพยายามที่จะส่งเสริมให้เกิดโครงการชดเชยการปล่อยคาร์บอนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากกว่า 30% ภายในปี 2030 อินโดนีเซียถือเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในอาเซียน และเป็นประเทศที่ปล่อยคาร์บอนอยู่ในสิบอันดับแรกของโลก

ข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา BCG ระบุว่าถึงแม้ภูมิภาคอาเซียนจะครอบคลุมพื้นที่น้อยกว่า 1% ของพื้นที่รวมทั่วโลก แต่เป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพที่จะนำเสนอบริการหรือโครงการ ที่จะชดเชยการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 30%  

หมายความว่า อาเซียนสามารถเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการชดเชยคาร์บอนที่เป็น "Nature-based Solutions" (NbS) นั่นคือการใช้ธรรมชาติและระบบนิเวศในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืน

แต่สิ่งที่ยังเป็น Pain Points ในปัจจุบันก็คือยังขาดการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาโครงการชดเชยคาร์บอนวิถีธรรมชาติ เช่น เทคโนโลยีอัตโนมัติและระบบควบคุมการจัดการแหล่งพลังงานทดแทน เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำและสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีที่ใช้เซ็นเซอร์, ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์, และระบบติดตามและบริหารจัดการป่า เป็นต้น

 

ปัจจุบันสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อช่วยให้โครงการชดเชยคาร์บอนที่ใช้ธรรมชาติในการแก้ปัญหายังมีจำนวนน้อยมาก

ข้อมูลจาก Pitchbook รายงานว่า สตาร์ทอัพในกลุ่มนี้ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 8 รายในปี  2017 เป็น 22 รายในปี 2022   ด้วยดีมานด์ที่เพิ่มมากขึ้นและตลาดที่ขยายตัว เราได้เห็นสตาร์ทอัพเกิดใหม่ด้าน Nature Tech หลายรายในอาเซียนที่สามารถระดมทุนระดับ Seed ได้แตะระดับร้อยล้านบาทหลังจากเปิดตัวเพียงแค่ไม่กี่เดือน เช่น

Fairatmos  สตาร์ทอัพจากอินโดนีเซียที่ให้บริการเรื่อง Carbon Accounting และแพลตฟอร์มการจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขายคาร์บอนเครดิต  

Unravel Carbon จากสิงคโปร์ที่พัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อติดตาม ตรวจสอบและรายงานผลการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการซัพพลายเชน  

นอกจากนั้นยังมีสตาร์ทอัพที่เรียกตัวเองว่า “Nature Tech” ที่นำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชั่นในการพัฒนาโครงการชดเชยคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติ เช่น

Nature Metrics สตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบขั้นสูง เพื่อตรวจจับดีเอ็นเอในตัวอย่างน้ำและดิน ทำให้มีฐานข้อมูลเพื่อช่วยให้นักลงทุนในโครงการชดเชยคาร์บอนสามารถระบุพื้นที่ที่ต้องการการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพได้

Pachama Originals สตาร์ทอัพที่พัฒนาแผนที่คาร์บอนจากภาพถ่ายดาวเทียมโดยช่วยติดตามและกำหนดสถานที่เหมาะสมสำหรับโครงการปลูกป่า

การเร่งพัฒนาสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกในการติดตาม ตรวจสอบ และรายงานผลโครงการชดเชยคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับประเทศและในระดับภูมิภาค

นี่อาจถึงเวลาที่จะดึงเอาผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature Tech จากภาครัฐมาทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจและคว้าโอกาสในตลาดคาร์บอนเครดิตมูลค่าหลายหมื่นล้านนี้มาให้ได้

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

‘ไต้ฝุ่นยางิ’ ทำ ‘เศรษฐกิจเวียดนาม’ เสียหายกว่า 5 หมื่นล้านบาท

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พายุไต้ฝุ่นยางิ ถล่มเมียนมา เวียดนาม ลาว และไทยด้วยกำลังลมที่แรงมาก และทำใ...

ท่วมหนักสุด 'ในรอบ 3 ทศวรรษ' พายุบอริสถล่มยุโรป ผลกระทบจากโลกร้อน

จากหย่อมความกดอากาศต่ำที่ชื่อว่า “พายุบอริส” ส่งผลให้มีฝนตกหนักจากออสเตรียไปจนถึงโรมาเนีย จนเกิด “น้...

ฮามาสโวความสามารถสูง ทำสงครามกาซาต่อได้แม้สูญเสีย

นายโอซามา ฮัมดัน ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่นครอิสตันบูลของตุรกี ระบุ “ขบวนก...

สงครามสู้ฮามาสและยอดส่งออกร่วง กดดันจีดีพี ‘อิสราเอล’ Q2 ให้โตเพียง 0.7%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของอิสราเอลในไตรมาสที่สองชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไ...