‘เดนทิสเต้’ ผ่านบันได 2 ขั้น มุ่งโกลบอลแบรนด์ ดึง “ลิซ่า” เจาะตลาดครึ่งโลก

ย้อนไป 18 ปีก่อน “เดนทิสเต้” ยาสีฟันของนักธุรกิจไทยที่หมายมั่นปั้นเป็นแบรนด์ระดับโลก(Global Brand) วางจุดยืนสินค้าเจาะตลาดพรีเมียมเพื่อฉีกการแข่งขันในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค(FMCG)ที่เป็นตลาดทั่วไปหรือแมส การทำตลาดยุคเริ่มเน้นยาสีฟันตลาดเฉพาะ(Niche Market) เน้นสื่อสารเจาะกลุ่มคู่รัก มี “หน่อย บุษกร-เคน ธีรเดช” เป็นพรีเซ็นเตอร์คู่แรก

ปัจจุบัน “เดนทิสเต้” ทำตลาดในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และอาวุธสื่อสารการตลาดที่สำคัญคือการใช้ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ต่อจิ๊กซอว์สานแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์กรุ๊ป ผู้ผลิตเดนทิสเต้ เปิดเผยว่า การปั้นแบรนด์สินค้าไปสู่แบรนด์ระดับโลก ไม่ใช่แค่มี “การตลาด” ที่ยอดเยี่ยม แต่หัวใจสำคัญคือ “ผลิตภัณฑ์” ต้องมีความแตกต่าง มีดีกว่า “คู่แข่ง” ทั้งการผลิต คุณภาพ สูตร และเห็นผลลัพธ์เมื่อผู้บริโภคได้ใช้

ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากทั้งยาสีฟัน สเปรย์ระงับกลิ่นปากแบรนด์ “เดนทิสเต้” ปักธงตั้งแต่วันแรกที่สินค้าออกสู่ตลาดคือการมุ่งเป็นแบรนด์ระดับโลก ทว่าไม่ง่าย เพราะการเดินทางเกือบ 2 ทศวรรษ ความสำเร็จไปสู่เป้าหมายดังกล่าวทำได้เพียง 2 ขั้นเท่านั้น จาก 10 ขั้นที่วางเป้าหมายไว้ ทำให้เหลืออีก 8 ขั้นที่ยังต้องออกแรงฮึด! ไปให้ถึง

โดยบันไดขั้นต่อไปภายในปี 2573 บริษัทต้องการผลักดัน “เดนทิสเต้” ไปจำหน่ายในทุกทวีปทั่วโลก หากนับจำนวนประเทศควรครอบคลุม “ครึ่งโลก”(โลกมีมากกว่า 190 ประเทศ) จากกว่า 20 ประเทศ ซึ่งตลาดหลักที่เติบโตอย่างดี คือ “ญี่ปุ่น” ยอดขายโตหลัก 100% เกาหลีใต้เติบโต 10% แต่ส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 12% และประเทศกัมพูชา ที่ลูกค้าให้การตอบรับดี ไลฟ์สไตล์ซื้อยาสีฟัน แปรงสีฟัน “แพงกว่าคนไทย”

ในปี 2567 “ตลาดสหรัฐ” จะเป็นหมุดหมายที่ “เดนทิสเต้” ลุยเจาะตลาดผ่านห้างค้าปลีกชั้นนำทั้ง Walmart target COSTCO WHOLESALE และ H MART(ห้างเกาหลี) จากเดิมที่มีสินค้าขายผ่านออนไลน์อย่าง Amazon รวมถึงตลาดยุโรป ที่จะขยายให้มากขึ้น โดยเฉพาะ "เยอรมนี" ซึ่งมีฐานจ้างผลิต(โออีเอ็ม)มา 4-5 ปี ทยอยผลิตสินค้าป้อนผู้บริโภคไป 2 ล็อตแล้ว รวมถึงมองโอกาสประเทศอื่นๆเพิ่ม

“เดนทิสเต้มีส่วนแบ่งการตลาดยาสีฟันในประเทศเกาหลี 12% ญี่ปุ่นมีการเติบโต หากแบรนด์สามารถขายสินค้าในเกาหลีและญี่ปุ่นได้ จะมีโอกาสขายสินค้าทั่วโลก เพราะ 2ประเทศนี้มีความชาตินิยม วัฒนธรรมการรับสินค้าแบรนด์ประเทศอื่นยากมาก แต่เดนทิสเต้เราบุกตลาดได้ สอดคล้องกับเป้าหมายตั้งแตวันแรกที่สร้างแบรนด์ ภาพลักษณ์ของเดนทิสเต้ต้องเป็นแบรนด์ระดับโลกให้ได้”

ล่าสุดยังเดินหน้าสื่อสารการตลาดย้ำแบรนด์ระดับโลก ด้วยการใช้ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เป็นครั้งที่ 3 พร้อมเปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ “The New Chapter : Dentiste’ X The Power of Lisa’s Confident Smile” ซึ่ง “ลิซ่า” มีส่วนร่วมในการกำกับ วางคาแรคเตอร์ และเขียนบทกับทีมงานจัดทำโฆษณา ส่วนเนื้อหาได้ถ่ายทอดชีวิตและตัวตนในฐานะ “Lady Boss” จากจุดเริ่มเป็นศิลปิน นักเต้น เติบโตเป็นเจ้าของธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีงานโฆษณาที่จะนำเสนอภาพ Soft Power ของไทย ผ่านฉากการรับประทานอาหารไทย เช่น พะแนงเนื้อ ต้มยำกุ้ง น้ำแข็งไส และปลายปีจะมีกิจกรรมพิเศษร่วมกับ “ลิซ่า” เพื่อเอนเกจกับแฟนคลับ

นอกจากนี้ ภารกิจ “เดนทิสเต้” สานแบรนด์ Thailand to The WORLD ยังเตรียมหารือกับ “ลิซ่า​” ในการสนับสนุนการทัวร์คอนเสิร์ตระดับโลกด้วย

สำหรับการใช้ “ลิซ่า” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ 2 ครั้งที่ผ่านมา ความทรงพลัง และชื่อเสียงที่โด่งดังในระดับสากล มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ทันสมัย และเป็นตัวแทนของกลุ่มคนรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นซี(Gen Z) ช่วยผลักดันให้ “มูลค่าแบรนด์เดนทิสเต้” เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว ส่งผลต่อยอดขายเติบโต 50-100% และคาดหวังว่าครั้งนี้จะช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโต “เท่าตัว” สร้างการเติบโตในตลาดโลกกว่า 20 ประเทศด้วย

“เมื่อใช้ลิซ่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ยอดขายเดนทิสเต้เติบโตในอัตรา 2 หลัก จากก่อนใช้โตเพียง 5-10% ซึ่งการต่อสัญญาแบรนด์แอมบาสเดอร์กับลิซ่าเป็นปีต่อปี หากมีโอกาสครั้งที่ 4 เดนทิสเต้ยังอยากใช้ลิซ่าต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หลังลิซ่ามีค่ายและทำธุรกิจเอง คิวงานแน่นมาก ทำให้เดนทิสเต้เป็นสินค้าจำเป็นหรือFMCGแบรนด์เดียวที่ได้ร่วมงานแบรนด์แอมบาสเดอร์”

สำหรับสยามเฮลท์กรุ๊ปมีรายได้ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ปี 2567 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20% โดยสัดส่วนรายได้มาจากสมูทอีและเดนทิสเต้ 40% เท่ากัน อีก 20% เป็นอื่นๆ เช่น ธุรกิจการศึกษา ร้านยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฯ นอกจากนี้ สัดส่วนรายได้ในประเทศและต่างประเทศเท่ากันที่ 50% แต่ภายในปี 2573 ต้องการให้ต่างประเทศมีรายได้ 80-90%

ด้านภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากในไทยมีมูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นยาสีฟัน 1.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% เดนทิสเต้มีส่วนแบ่งตลาด 6-7% เท่านั้น ตลาดแปรงสีฟันมูลค่า 3,000-4,000 ล้านบาท น้ำยาบ้วนปากกว่า 1,000 ล้านบาท ที่เหลืออื่นๆ เช่น ไหมขัดฟัน สเปรย์ระงับกลิ่นปาก ฯ

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ระเบิด ‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่าที่กลับมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ “โทรศัพท์มือถือ” จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโล...

เปิดเหตุผล 'ไปรษณีย์ไทย' ทำไมโดดร่วมสมรภูมิ 'เวอร์ชวลแบงก์'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.) เป็นวันปิดรับคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแ...

แกะกล่อง 'iPhone 16' และ 'iPhone 16 Pro Max' ส่องจุดเด่น มีลูกเล่นอะไรใหม่

แกะกล่องเป็นกลุ่มแรกๆ กับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max ที่วันนี้ KT Review จะพาไปดูว่าหนึ่งรุ่นเร...

‘ไมโครซอฟท์ - กูเกิล’ มอง ‘Digital Trust’ วาระท้าทาย ชีวิตบนโลกดิจิทัล

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน “60 Years OF EXCELLENCE” ฉลองครบรอบ 60 ปี เชิญผู้นำจา...